นี่เป็นสรุปรายชื่อหนังโรงที่เราดูในปี 2015 แล้วรู้สึกชอบและรู้สึกว่าดีในมุมมองของเรา อาจจะไม่ถูกใจใครบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเรา โดยลิสต์นี้ได้แบ่งเป็น 6 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน ประเภทละ 3 เรื่อง จากทั้งหมด 109 เรื่อง (บางเรื่องก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง 2-3 ประเภท แต่ก็เอาเถอะ อย่าเอาอะไรกับมันมาก)
- Drama
- Action
- Comedy
- Sci-Fi/Fantasy
- Horror/Thriller
- และ Animation
หมายเหตุ ย้ำว่าเป็นลิสต์ที่คัดจาก “หนังโรงที่เราดูในปี 2015” และเป็นความชอบส่วนตัว
ถ้าสนใจหนังเรื่องไหน คลิกที่ชื่อหนังได้เลยนะคะ จะมีลิงค์ตรงไปที่บล็อกรีวิวของหนังเรื่องนั้นๆ ค่ะ
…
Drama
1. Straight Outta Compton
เป็นหนัง based on a true story ที่สนุกเข้มข้นมาก หนังสร้างจากเรื่องจริงของ N.W.A ฮิพฮอพวงดังจากเมือง Compton, California บทดีมาก สาระข้อคิดแน่นเฟร่อ ภาพและการตัดต่อก็คูล แถมดนตรียังสนุกจนอยากจะลุกขึ้นไปเต้นตามอีกต่างหาก หนังยาวแต่ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ไม่ใช่แฟนวงหรือคอเพลงแนวนี้ก็ดูสนุก เชื่อเรา
2. Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance)
หนังออสการ์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2014 (ได้เข้าชิงตุ๊กตาทองสูงสุดถึง 9 สาขา และคว้ามาสูงสุด 4 สาขา) เป็นหนังที่เหมาะกับคนที่รักหนังตัวยง จิกกัดและเสียดสีวงการและดาราฮอลลีวูดอย่างแสบทรวง บทตลกเสียดสีแสบสันแ นวการเล่าเรื่องแปลกใหม่น่าสนใจ มุมกล้องเจ๋งมาก และทีมนักแสดงเขาก็เล่นระดับมหาเทพ
3. The Imitation Game
หนังเข้าชิงออสการ์ 8 สาขา และชนะรางวัลสาขา Best Adapted Screenplay (บทดัดแปลงยอดเยี่ยม) สร้างจากเรื่องจริงของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ “Alan Turing” กับภารกิจพิชิตนาซี และประเด็น Gender Discrimination ในสมัยนั้น กำกับภาพดี เล่าเรื่องสนุก น่าติดตาม บทดี ไดอะล็อกสนุกคมคาย และที่เกิดที่สุดก็คือการแสดงของ Benedict Cumberbatch
.
.
หมายเหตุ ประเภท Drama กับประเภท Action เลือกยาก ตัดยากมาก อยากจะใส่มันซะทุกเรื่อง แต่ก็พยายามที่สุดแล้วที่จะเอามาแค่ประเภทละ 3 เรื่องให้ได้ T^T
.
Action
1. Mad Max : Fury Road
บทดีมาก ทั้งประเด็นโลกร้อนและพลังหญิงมาเต็ม ฉากแอ็คชั่นก็โคตรมันส์ชิบหาย ทำไมกำกับหนังบู๊ได้มัน สนุก และเจ๋งขนาดนี้ โคตรเท่ทั้งคนทั้งรถ ความยาว 120 นาทีนั้น หนังเล่นบู๊ไปแล้ว 115 นาที ชนิดที่แบบแทบไม่ให้คนดูได้พักหายใจ และฉากบู๊ 99% เป็นการบู๊บนรถ หรือการซิ่งรถ ซึ่งเราขออวยโคตรๆ เลยว่า ซีนรถทุกซีนทำได้ดีมากกกกกกกกกกส์ มัน to the max เลย
2. Kingsman: The Secret Service
หนัง Action-Comedy ล้อเลียนหนังสปายหรือสายลับดังๆ มีกลิ่นอายของ James Bond + My Fair Lady + Kick-Ass + X-Men: First Class ฯลฯ เดินตามสูตรอย่างสร้างสรรค์น่าสนใจ และเก็บรายละเอียดทุกเม็ดอย่างน่าเซอร์ไพรส์ ฉากบู๊สนุก มัน ติดตลก มีความเกรียนแบบผู้ดี และสร้างสรรค์ ดนตรีประกอบก็มันกระหึ่ม ยิ่งเพิ่มอรรถรสให้คนดูอย่างมาก โดยเฉพาะฉากที่ Colin Firth บู๊กระจายในโบสถ์นี่อีพิค
3. Ant-Man
ฉากบู๊สวยงามและสนุกมาก งาน Visual คือโดดเด่นจริงๆ รองลงมาก็ชอบการออกแบบฉากต่อสู้แต่ละช็อตที่ไม่ใช่แค่กะเอามันหรือกะเอาขำเท่านั้น หากแต่ผ่านการคิดและการสร้างสรรค์มาแล้วอย่างดีทั้งสิ้น ใช้กิมมิคความเป็นมนุษย์มดมาเล่นได้คุ้ม นอกจากนี้ยังมีความฮาในไดอะล็อกและความฮาโดยคาแรกเตอร์นักแสดง เป็นหนังบู๊ที่มีเสน่ห์กว่าที่คิด
.
.
Comedy
1. PK
PK เป็นหนัง Bollywood ที่เลอค่าและสนุกที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก สนุกครบรส หัวเราะน้ำตาเล็ด ซาบซึ้งน้ำตาไหล พล็อตเรื่องและไดอะล็อกโคตรเจ๋ง สะท้อนความเชื่อทางศาสนาและความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้ดีเยี่ยม แถมยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังอินเดียอยู่ด้วย เช่น ฉากการวิ่งไล่และการร้องเล่นเต้นระบำ ซึ่งเพลงมันมากจนอยากจะลุกขึ้นไปเต้นกับตัวละคร เพลงก็เพราะเข้ากับเนื้อเรื่อง และนอกจากนี้ภาพก็ยังสวยมาก ที่สำคัญมนุษย์ต่างดาวที่เป็นพระเอก (Aamir Khan) เล่นดีเว่อร์ๆ ขโมยซีนทุกฉาก ชนิดคนเดียวเอาอยู่ทั้งเรื่อง
2. The Intern
เป็นหนังที่ฮามาก สนุกจริงๆ ฮาทั้งตัวบทและการแสดงของนักแสดง นักแสดงนำเล่นดีมาก (โดยเฉพาะสองดาราออสการ์) แต่ตอนแรกมันก็ฮาอยู่ดีๆ นะ ไปๆ มาๆ ทำเอาน้ำตาไหลเฉยเลย อินมากกกก ทั้งเรื่องงาน อนาคต และชีวิตคู่ ฟีลกู้ดนะ แต่ก็มีข้อคิดให้ฉุกคิดตลอดจนถึงนาทีสุดท้ายของเรื่อง ชอบบทของ Anne Hathaway เรื่องนี้มาก เวรี่ปัง!
3. Pitch Perfect 2
เป็นหนังภาคต่อที่ทำสนุกกว่าที่คิดมาก ทั้งสาระ แรงบันดาลใจ และความบันเทิงคุ้มค่าแก่การรอคอย แค่ตัวหนังกับตัวนักแสดง (โดยเฉพาะ Fat Amy กับ Bumper) ก็ฮาในตัวของมันเองอยู่แล้วนะ ฮาตั้งแต่ฉากเปิดยันฉากปิด end credit และชอบเข้าไปอีกตรงพลังหญิงมาเต็มสูบด้วยนี่แหละ ประกอบกับมิวสิคเพราะๆ ที่เพิ่มความบันเทิงไปถึงขีดสุด โดยเฉพาะเพลง Flashlight อันนี้ชอบสุด มีฉากซึ้งด้วย น้ำตาจะไหล
หมายเหตุ Adam DeVine แสดงทั้ง The Intern ทั้ง Pitch Perfect 2 เลย มีเขาที่ไหน ฮาที่นั่น lol
,
.
Sci-Fi/Fantasy
1. The Lobster
ไม่ว่าจะยังไงก็อยากให้ The Lobster อยู่ในลิสต์หนังโปรด ก็ไม่รู้ควรจะอยู่ genre ไหน อยู่แฟนตาซีละกัน เพราะเราชอบความแฟนตาซีของหนังที่เกิดขึ้นในเมืองดิสโทเปียเมืองหนึ่งที่มีกฎว่า “การเป็นโสดเป็นสิ่งต้องห้าม” ถ้าคนโสดคนไหนหาคู่ไม่ได้ภายใน 45 วัน เขาคนนั้นจะต้อง “กลายเป็นสัตว์” ตลอดไป น่าสนใจและแยบยล เป็นหนังตลกร้ายที่ตอกย้ำคนโสดและจิกกัดคนมีคู่ได้อย่างเจ็บแสบที่สุด แนะนำ
2. The Martian
ตอนแรกจะจัด The Martian ในหมวดหนังตลกเหมือนเวทีลูกโลกทองคำ แต่คิดไปคิดมา เราก็ชอบมันที่อารมณ์ขันและความกวนตีนของพระเอกนะ แต่ชอบที่งานไซไฟของมันมากกว่า เขาเล่าเรื่องวิทย์ๆ ได้สนุก ดูแล้วเด็กสายศิลป์อย่างเรารู้สึกรักวิทยาศาสตร์ขึ้นมาทันที lol ที่สำคัญดาวอังคารและอวกาศในเรื่องถูกเนรมิตรังสรรค์ได้แกรนด์อลังการงานสร้างมาก ชอบงาน Visual ที่ดูแพงและดูจริง แล้ว Sound ก็ดีงาม มีรสนิยมในการเลือกเพลงประกอบดีเลยทีเดียว
3. Star Wars: The Force Awakens
แฟรนไชส์เรื่องนี้เค้าเด่นเรื่องไซไฟและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์มาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อละ จะติดโผหนังไซไฟยอดเยี่ยมอีกสักภาคก็คงไม่น่าแปลกใจ แต่บอกก่อนว่า ปกติเราไม่ชอบ Star Wars นะ แต่ที่ชอบภาคนี้ เพราะแฝงพลังหญิงละ ไม่ใช่หนังชายล้วนละ และที่เราชอบมากที่สุดคือเจ้าดรอยด์ BB-8 โอยยย น่ารัก อยากได้
.
.
Horror/Thriller
1. It Follows
เป็นหนังโคตรหลอน เครียด กดดัน คาดเดาได้ยาก ลูกเล่นแพรวพราว มีสัญลักษณ์เยอะมาก มีความครีเอทสูง ดนตรีและภาพชวนติดตาม ชอบมุมกล้องสุด เป็นหนังสยองขวัญที่อาร์ตมาก
ความหลอนของ “มัน” คือมันจะเดินช้าๆ เข้ามาหาเราเหมือนซอมบี้ “มัน” คอยตามหลอกหลอนไปทุกที่ในรูปแบบของมนุษย์เกือบปกติ ทั้งเปลือยเปล่า เป็นโรค หรือแก่ชรา “มัน” สามารถแปรรูปเป็นใครก็ได้ และจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อ ทั้งเป็นคนแปลกหน้า คนรู้จัก หรือคนรัก และเราจะเป็นเพียงคนเดียวที่เห็น “มัน” และเป็นคนเดียวที่ “มัน” จะตามฆ่า ซึ่งเราต้องหนีอย่าให้ “มัน” โดนตัวหรือเข้าถึงได้ ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากการตามของ “มัน” ได้ก็คือ เราจะต้องมีเซ็กส์กับใครก็ได้ เพื่อส่งต่อ “มัน” ไปยังคนอื่นต่อไป
คิดดู หนังมัน paranoid และคุกคามมาถึงสมองแค่ไหน นี่ดูจบแล้ว ออกมาถึงกับหวาดระแวงมนุษย์รอบด้านไปเลย มอง 360 องศาตลอดเวลา และคิดระวังมากขึ้นก่อนจะมีเซ็กส์กับคนอื่น หลอนจริงหลอนจัง
2. The Gift
The Gift : ของขวัญวันตาย เป็นหนังแนว psychological thriller ที่บทดี มี plot twist และ ending ที่โหดร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี ฟุ้งมาก ดูไปสมองก็คิด จิตก็ผวาตลอดเวลา แถมระดับความจิตมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที ยิ่งดูก็ยิ่งจิตตามตัวละครในเรื่อง เหมือนโดนวางยาพิษ โดยเฉพาะช่วงหักมุมกับช่วงสิบนาทีสุดท้ายของหนังนั้นพีคมากกับของขวัญชิ้นสุดท้าย
3. รุ่นพี่ (Senior)
เหมือนจะเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่ติดโผในบล็อกนี้ แต่จริงๆ รุ่นพี่ นี่ไม่ใช่หนังไทยที่เราชอบที่สุดแห่งปีนะ (คือจริงๆ ชอบ Snap กับ ฟรีแลนซ์ฯ มากกว่า) แต่ทั้งปีเราไม่ค่อยเจอหนัง Horror/Thriller ที่โดนใจเท่าไหร่จริงๆ ซึ่ง รุ่นพี่ ก็เป็นหนังผีที่สนุกนะ งาน CG ก็โอเค ไม่ขัดใจ ดีกว่าหนังไทยเรื่องอื่นๆ หลายเรื่อง
รุ่นพี่ เป็นหนังผีแนววินเทจผสมกับแนวสืบสวนสอบสวน บทดี ชวนคิดติดตาม พาร์ทสืบสวนคดีฆาตกรรมนี่เดาเรื่องไม่ถูกเลย สิ่งที่ชอบในหนังคือเส้นแบ่งหรือภาพซ้อนระหว่างโลกอดีตกับโลกปัจจุบัน และที่ชอบเป็นพิเศษคือ มันเปลี่ยนความคิดเรื่องผีๆ ของเราไปหลายอย่างเลยทีเดียว
.
.
Animation
1. Inside Out
เป็นหนังแอนิเมชันเรื่องเยี่ยมแห่งปี ดูแล้วจะเข้าใจมนุษย์มากขึ้น และหวนคิดถึงความทรงจำที่หายไปของตนเอง สนุกครบรส ทั้งสาระและความบันเทิง บทเขาดีโคตร ไอเดียเจ๋งเว่อร์วัง สดใหม่ และจินตนาการสร้างสรรค์มาก หนังถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวคนออกมาให้เข้าใจได้ง่าย สร้างสรรค์ สวยงาม และดูเพลินสุดๆ เหมือนได้ทัศนศึกษาสมองซึ่งสุดแสนลึกล้ำซับซ้อนเหลือกำหนด ดูแล้วเห็นความใส่ใจในการรังสรรค์แอนิเมชันไม่ใช่แค่งานภาพ (Visual) หากแต่ยังรวมถึงคาแรกเตอร์และตัวบทด้วย
2. The Little Prince
เนื้อหาสาระดีงามตามหนังสืออยู่ละ ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ แต่ที่ชอบคือชอบที่หนังแบ่งโลกในหนังออกเป็นสองใบ และใช้เทคนิคเนรมิตภาพออกมาแตกต่างผสมกัน โดยโลกแห่งความจริงเป็นรูปคอมพิวเตอร์กราฟิก 3 มิติ ส่วนโลกของเจ้าชายน้อยเป็นแบบ “stop motion animation“ อิงจากภาพวาดสีน้ำออริจินัลในหนังสือ ซึ่งให้ความรู้สึกกับคนดูว่าภาพวาดบนกระดาษหนังสือได้มีชีวิตโลดแล่นขึ้นมาจริงๆ ซึ่งงานภาพของเขาสวยงามสมจริง บางทีก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังดูงานของ Wes Anderson ยังไงยังงั้น
3. The Good Dinosaur
จริงๆ ไม่ได้ชอบเรื่องนี้มากมาย แต่ก็ไม่มีแอนิเมชันเรื่องไหนที่ชอบแล้ว และเรื่องนี้จริงๆ มันก็ไม่ได้ขี้เหร่ จุดเด่นจุดขายที่ดีงามมากๆ ของเขาคืองานภาพอะนิเมชั่นที่สวยสมจริง งานละเอียด เป็นธรรมชาติ เหมือนกำลังดูสารคดี National Geographic หรือดูหนังจริงๆ เลยนะ ประเด็นครอบครัวเขาก็ทำโอเค ดราม่า ขยี้ปม กระชากหัวใจ และเค้นน้ำตาได้อยู่ โดยรวมเหมาะกับเด็กและเป็นหนังครอบครัวที่ดีอีกหนึ่งเรื่องแหละ พอใช้ได้ๆ
.
…
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตามอ่านรีวิวหนังของ kwanmanie.com มาโดยตลอด เจอกันใหม่ปีหน้า Happy New Year 2016 kaaa :)
36 comments