KWANMANIE
  • Home
  • Courses
    • All Courses
    • Essay Course for Admissions
    • Private Essay Course
    • SOP & Essay Editing Service
  • Films
    • Movie Reviews
    • Series
  • Books
    • Nonfiction
      • Self Improvement Books
      • Relationship Books
    • Fiction
  • Lifestyle & Perspective
    • Fashion & Beauty
    • Food & Restaurant
    • Plants
    • Productivity
    • Thoughts
    • Travel
    • Misc.
  • Study
    • How to Write a Statement of Purpose (SOP)
    • English Writing
    • General
  • About Me
    • Where to Find Me
Follow
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram
  • Pinterest
  • YouTube
Social Links
Instagram 5K Follow
Twitter 11K Follow
Facebook 10K Like
YouTube 7K Subscribe
TikTok
KWANMANIE
Follow
Follow
Like
Subscribe
KWANMANIE
  • Home
  • Courses
  • Films
    • Movie Reviews
    • Series
  • Books
    • Nonfiction
    • Fiction
  • Lifestyle & Perspective
    • Fashion & Beauty
    • Food & Restaurant
    • Plants
    • Productivity
    • Thoughts
    • Travel
    • Misc.
  • Study
  • About Me
    • Where to Find Me
  • Self Improvement Books
  • Relationship Books
  • Books
  • Lifestyles & Perspectives
  • Nonfiction
  • Self Improvement Books

สรุปหนังสือ MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา

  • September 24, 2023
  • kwanmanie
Total
0
Shares
0
0
0
💡 Manifesting คือความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปรารถนา สามารถดึงดูดสิ่งที่เราปรารถนาเข้ามาในชีวิต และทำให้เรากลายเป็นผู้เขียนเรื่องราวของตนเอง
📌 พิกัดหนังสือ https://s.shopee.co.th/VpVslIcR7
  • Manifesting คือการหลอมรวมวิทยาศาสตร์ (เช่น กฎแห่งแรงดึงดูด) และภูมิปัญญา
  • Manifesting คือปรัชญาการใช้ชีวิตและแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาตนเองที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด
  • ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจาก manifesting ไม่ใช่การช่วยให้เราดึงดูดสิ่งต่าง ๆ มาครอบครอง แต่คือการช่วยให้เราปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริง เปี่ยมพลังที่สุด รักตัวเองที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุด เป็นการเสริมพลังให้เราใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมากกว่า
  • ความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการครอบครองวัตถุสิ่งของ แต่เกิดจากความสัมพันธ์รอบตัว จากการมีจุดหมายของตัวเองและการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ “สะท้อนตัวตนแท้จริงที่สุด” ของเรา

7 Steps to Living Your Best Life
ทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ ไม่ควรทำทีละอย่าง แต่ควรทำไปพร้อม ๆ กัน

@kwanmanie

This past week, I wrapped up reading this transformative book that has shifted my mindset that we all can be the writers of our own story!✨Here’s my summary, Unlock Your Best Life with Manifesting! ✨⬇️ . 1️⃣ Be Clear in Your Vision: Visualize your dream life. Create a vision board and meditate on how you truly want to feel or to be. 🖼️ . 2️⃣ Ditch Fear and Doubts: Positivity only—no room for negative vibes here! 🚫 . 3️⃣ Take Action: Build new habits and align your behaviors 📅 . 4️⃣ Overcome Tests: Never settle for less or give up easily; you’re stronger and deserve better than you think! 💪 . 5️⃣ Embrace Gratitude: Be Grateful for what you have. Focus on the present and positive vibes. Keep a gratitude journal. 📔 . 6️⃣ Turn Envy to Inspo: Let others’ success drive you, not drain you. 🌟 . 7️⃣ Trust the Universe: Let it flow and believe it’ll work out. 🌌 . 👉 The key? ⭐️ Love yourself, believe you deserve the best, and step into your true self. ❤️✌️ . #manifest #manifesting #manifestwithroxie #bookblogger #motivation #inspiration #empowerment #roxienafousi

♬ original sound – Kwanmanie – ขมณ เกิดในร้าน vdo โตในโรงหนัง
  1. Be clear in your vision.
  2. Remove fear and doubt.
  3. Align your behaviour.
  4. Overcome tests from the universe.
  5. Embrace gratitude without caveats.
  6. Turn envy into inspiration.
  7. Trust in the universe.
  1. มองภาพให้ชัดเจน+มีรายละเอียด
    • นั่งสมาธิ >> จินตนาการอนาคต >> ผ่อนคลาย >> เติมเต็มรายละเอียดให้ชัดเจน และดำดิ่งในอารมณ์ความรู้สึกที่ได้ถือครอบครองสิ่งเหล่านั้น = 10-15 นาที/ครั้ง และ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
      • ตัวตนในอนาคตจะ “รู้สึก” อย่างไร ตัวเองอยาก “รู้สึก” อย่างไร
      • คำถามสำคัญที่สุด: คนที่เราอยากจะเป็นคือใคร
    • สร้าง vision board ซึ่งจะเอื้อให้เราเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
      • อย่าลืมใส่ความรู้สึกของตัวตนในอนาคตลงไป
      • ต้องมีกำหนดกรอบเวลา เช่น 6 เดือน, 1 ปี, 5 ปี
      • อาจจะแยก vision board ออกเป็นส่วน ๆ เช่น การพัฒนาส่วนตัว, ความรักความสัมพันธ์, หน้าที่การงาน, เพื่อนและครอบครัว, บ้านที่อยู่, งานอดิเรกหรือสิ่งบันเทิง และใส่ประมาณ 3 อย่างในแต่ละส่วน
    • เพื่อที่จะทำความเข้าใจตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็นอย่างแท้จริง และเริ่มเดินทางไปสู่ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของเรา เราต้องปล่อยวางตัวตนที่เราเคยเป็นและตัวตนที่เราคิดว่าควรจะเป็นก่อน
    • ทุกวัน เราลุกขึ้นมาเป็นคนใหม่
  2. ขจัดความกลัวและความกังขา
    • Manifest จะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับสิ่งที่เราเชื่ออย่างแท้จริงว่าเรามีค่าคู่ควรที่จะได้รับสิ่งนั้น
    • จิตใต้สำนึกมีสิ่งปิดกั้น Manifest สองประการ: ความกลัว และความกังขา ซึ่งมักจะมาในรูปของความหวังดีว่า มันกำลังปกป้องเราจากความล้มเหลวหรือผิดหวัง ทั้งที่จริง มันกำลังฉุดรั้งและกีดกันเราจากการ manifest สิ่งที่ต้องการด้วย
    • การตระหนักรู้ความกลัวและความกังขา
      • นอกจากการทำ vision board จะช่วยเรานึกภาพสิ่งที่เราต้องการแล้ว ยังช่วยให้เราเข้าใจความกลัวและความกังขาในตัวเองชัดเจนขึ้นด้วย
      • มีความกลัวและความกังขาอะไรบ้างที่ผุดขึ้นมาเวลาเรานึกภาพตัวเองได้ครอบครองสิ่งนั้นจริง ๆ และหาวิธีขจัดมัน
      • ยิ่งเราตระหนักรู้ความกลัวและความกังขามากเท่าไร มันจะยิ่งมีอำนาจสั่งการเราน้อยลง
      • การตระหนักรู้คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตัวเองเสมอ
    • การขจัดรู้ความกลัวและความกังขา
      • จัดการความคิด (คิดบวก): จัดการความคิดของเราได้ >> เปลี่ยนภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ >> เปลี่ยนคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนของตัวเองได้ >> เปลี่ยนความเป็นจริงของเราได้
        • การแทนที่ความคิด: แทนที่จะนึกภาพ worst case scenario >> ให้นึกภาพ best case scenario แทน
        • การกำหนดกรอบมุมมองใหม่: อย่าตีความสถานการณ์จากมุมมองของความกลัวและความกังขา
      • ระวังภาษาที่ใช้
        • ถ้า >> เมื่อ เพื่อสะท้อนถึงความแน่ใจ
        • พูดถึงสิ่งที่เราต้องการ > สิ่งที่เรากลัวว่าจะเกิด หรือกลัวว่าจะไม่เกิด
        • ปรับเปลี่ยนคำพูดอย่างมีสติ
        • ยอมรับคำชม
      • ท่องมนตร์สะกด
        • ท่องมนตร์สะกด 2-3 ประโยคกับตัวเอง
        • เขียนมนตร์สะกดไว้ในจุดที่มองเห็นได้ทุกวัน
        • ฟัง positive affirmations หรือ affirmation tracks วนไป
        • จิตใต้สำนึกไวต่อสารเชิงบวกมากที่สุด ณ ตอนที่เราหลับ เพิ่งตื่น และตอนที่จิตเป็นสมาธิ
      • ฝึกการนึกภาพ
        • จินตนาการฉากใหม่ในสมอง เลือกนึกภาพผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้แทน และนึกภาพให้ชัดเจนว่าเราจะรู้สึกอย่างไรในวินาทีนั้น จินตนาการผลลัพธ์ในอุดมคติซ้ำไปซ้ำมาในสมอง
      • บ่มเพาะและฝึกฝนการรักตนเอง***
        • การรักตนเองคือรากฐานของทุกขั้นตอน มันคือการเปิดพื้นที่เพื่อรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต และนำไปสู่การตระหนักรู้ถึงทางเลือกต่าง ๆ และการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เลือกทำในแต่ละช่วงเวลา
        • สิ่งที่ต้องทำเพื่อไปสู่การบ่มเพาะความรักตนเอง
          • มีสติตระหนักรู้ถึงทางเลือกต่าง ๆ และหาที่ดีที่สุด
          • เคารพความรู้สึกตัวเอง
            • ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ทำให้ดีที่สุด แล้วเราจะหลีกเลี่ยงการตัดสินตัวเอง การทำร้ายตัวเอง และความเสียใจได้
            • ถามตัวเองให้เป็นนิสัยว่า วันนี้รู้สึกอย่างไรและต้องการอะไร ให้ตัวเองเป็นมนุษย์ ตระหนักรู้ว่า เรารู้สึกแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และมอบสิ่งที่เราต้องการให้ตัวเอง
          • เคารพจุดหมายในวันพรุ่งนี้
            • ชีวิตของเราเป็นผลรวมของทางเลือกต่าง ๆ ที่เราตัดสินใจลงไป ทุกสิ่งที่เราทำย่อมกำหนดตัวตนในปัจจุบันและอนาคตของเรา
            • การรักตัวเองจะควบคุมแรงขับที่จะทำเพื่อความพอใจชั่ววูบและตัดสินใจเลือกทางที่จะเอื้อต่อตัวตนในอนาคตของเราแทน
            • การฝึกรักตัวเองที่ดีที่สุดคือ การสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่เราต้องการวันนี้กับสิ่งที่เราต้องการในอนาคต
        • การให้อภัยและการไม่ตัดสิน
          • เพื่อเปิดเส้นทางสู่อนาคตที่งดงามที่สุด เราต้องปล่อยวางอดีตบางส่วนที่ทำให้เรามีภาวะอารมณ์ low vibes จากความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือความโกรธ แล้วมอบการให้อภัยและการไม่ตัดสินให้ตัวเองแทน โดยเราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า
            • เราทำดีที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว
            • เราได้บทเรียนอันมีค่าเสมอจากทุกประสบการณ์
            • เราไม่ใช่คนเดิมคนเดียวกับตัวเรา ณ เวลานั้นแล้ว เราเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากเรื่องราวนั้นแล้ว
          • การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและประสบการณ์ของตัวเอง แล้วพัฒนาจากสิ่งเหล่านั้น เราได้ฝึกรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการรักตนเอง นั่นคือการเติบโต
  3. ปรับพฤติกรรม
    • การทำตัวเชิงรุก แสดงให้จักรวาลได้เห็นสิ่งที่เราเชื่อว่าสมควรได้รับด้วยการลงมือปฏิบัติ โอบรับตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็น ออกจากความเชื่อที่บั่นทอนหรือความกลัว ออกจากพื้นที่ปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างจริงแท้ และบ่มเพาะความรักตนเองผ่านแนวปฏิบัติประจำวัน สร้าง habits ที่ดี และมุ่นมั่นทำเพื่อสุขภาวะของตนเอง
    • ปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับแนวทางที่เราปรารถนาจะช่วยให้เราเข้าใกล้การเป็นเช่นนั้นมากขึ้น
      • เมื่อเราคิดถึงคนที่เราปรารถนาจะเป็น ให้คิดถึงวิธีการต่าง ๆ ที่เราสามารถปรับพฤติกรรมของตนเองให้สอดคล้องกับตัวตนในอนาคตนั้นได้ตั้งแต่ตอนนี้
    • ทำควบคู่ไปกับการขจัดความกลัวและความกังขาได้
      • รับรู้ถึงความกลัวแต่ก็ลงมือทำอยู่ดี
      • แกล้งทำไปจนเรากลายเป็นสิ่งนั้น
    • อดทนกับความอึดอัดคับข้องจนกระทั่งสร้างความคุ้นเคยใหม่ได้สำเร็จ
      • มุ่งมั่นอย่างมีสติ
      • ปฏิเสธแรงกระตุ้นที่จะขัดขวางความสำเร็จ
      • ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในพื้นที่ใหม่ที่เปี่ยมพลังไปจนกว่าจะรู้สึกสบายใจเต็มที่
    • เดินออกจาก comfort zones
      • เราต้องทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม ท้าทายความกลัวและความกังขา และทำตัวแบบที่ตัวตนในอนาคตของเราจะทำ
      • เวทมนตร์จะปรากฏนอก comfort zones
      • เมื่อเกิดความคิดต่าง ๆ ขึ้น รวมถึงแรงบันดาลใจหรือความคิดสร้างสรรค์ อย่าปล่อยปละละเลย ให้เราตัดสินใจด้วยความรักตัวเองที่จะลงมือทำและเดินออกจาก comfort zones
      • วิธีก้าวออกจาก comfort zones
        • ชัดเจนถึงเหตุผลว่าทำไมถึงอยากทำแบบนั้น
        • ขจัดคำแก้ตัว (ความกลัวและความกังขา) โดยตั้งคำถามในทุกแง่มุม
        • อย่ายอมแพ้เมื่อเจอสิ่งท้าทาย
          • เป็นเรื่องปกติ เพราะสิ่งใดใดนอก comfort zones จะใหม่
          • สิ่งท้าทายมอบโอกาสให้เรายืนหยัดฝ่าฟันเพื่อตัวเราเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ สร้างความแข็งแกร่ง ความรู้ และความยืดหยุ่น ผลักดันไปในทิศทางใหม่และให้มุมมองใหม่ ๆ
        • 5-Second Rule: ถ้าเรามีแรงกระตุ้นที่จะลงมือทำตามเป้าหมาย เราต้องลงมือภายใน 5 วินาที ก่อนที่ความลังเลในสมองจะทำลายความคิดนั้นไป
    • สร้างนิสัยที่ดี (good habits)
      • ตั้งใจผนวกแนวปฏิบัติที่มีภาวะ high vibes ไว้ในกิจวัตรประจำวัน
      • เพิ่มแนวปฏิบัติเพื่อการรักตัวเองง่าย ๆ 3-4 อย่างเข้าไปในกิจวัตรประจำวัน (เวลาที่เหลือในแต่ละวันอาจน้อยลงกว่าคนอื่น แต่เวลาที่เหลืออยู่ในอีกทั้งชีวิตจะแตกต่างจากคนอื่น)
      • เราจะไม่มีวันเปลี่ยนชีวิตได้จนกว่าเราจะเปลี่ยน habits เพราะความสำเร็จซ่อนอยู่ในกิจวัตรประจำวัน
      • สัญญากับตัวเองว่าจะทำ habits ใหม่ทุกวัน เป็นเวลา 66 วัน (จำนวนวันที่สร้างนิสัยใหม่) เช่น ฉันจะตื่น …… ทุกวัน, ฉันจะเขียน journal ก่อนนอน ฯลฯ
    • ความจริงแท้
      • ใช้ชีวิตด้วยความสัตย์จริง ปรับสิ่งที่เราทำให้ตรงกับสิ่งที่เราคิดและตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็นอย่างแท้จริง
      • เมื่อเราตัดสินใจเลิกเสแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่ และโอบรับตัวตนที่แท้จริงที่สุดของตัวเอง เราจะก้าวหน้า
      • เมื่อเราปล่อยวางตัวตนที่เราคิดว่าเราควรจะเป็น ตัวตนที่คนอื่นคาดหวังให้เราเป็น หรือตัวตนที่เราเคยเป็น แล้วเราจะเปิดพื้นที่เพื่อหล่อเลี้ยงสิ่งต่าง ๆ ที่สนับสนุนตัวตนที่จริงแท้ที่สุดของตนเอง และค้นพบตัวตนปัจจุบันที่เราเป็นอย่างแท้จริง
      • ทุกครั้งที่ลงมือทำอะไร ให้ถามตัวเองว่า นี่สอดคล้องกับสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เขาเชื่อ และสิ่งที่เราปรารถนาจะเป็นหรือไม่
  4. เอาชนะบททดสอบของจักรวาล
    • การปิดประตูสู่อดีตอย่างเป็นทางการ ช่วยเปิดพื้นที่รับสิ่งที่คู่ควรเข้ามาสู่ชีวิต
    • เมื่อไรก็ตามที่เราเห็นโอกาสไปจากสิ่งที่ไม่เหมาะกับเราอีกต่อไป ให้คว้าโอกาสนั้นไว้ วางสิ่งที่ไม่เหมาะกับเราลง โดยรู้ว่าเรามีค่าควรและสมควรได้รับสิ่งที่เหมาะสมกับเราจริง ๆ
    • การยอมรับสิ่งที่ด้อยกว่าสิ่งที่เราควรได้รับเกิดจากความกลัวและความกังขา
    • บททดสอบที่เราต้องระมัดระวังจริง ๆ คือบททดสอบที่ดูละม้ายคล้ายสิ่งที่เราตั้งตารอ แต่พอสังเกตให้ถี่ถ้วน เราจะตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
    • เราเลือกได้ว่าจะใช้หลักคิดเรื่องความขาดแคลน (สิ่งที่มีอยู่ไม่เพียงพอ) หรือ หลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์ (มีโอกาสมากมายเหลือพอสำหรับทุกคน) โดยแก่นหลักของกระบวนการ manifest คือการยึดหลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์
    • สิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังคือโอกาสให้เราฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างความเข้มแข็ง ความยืดหยุ่น และความกล้าหาญ
    • บางครั้ง เวลาที่สิ่งต่าง ๆ แหลกสลาย อันที่จริง มันกำลังขยับเข้าที่เข้าทางต่างหาก
    • เมื่อเราใช้ประโยชน์จากความทุกข์ยากอย่างดีที่สุด มันจะกลายเป็นรากฐานสำคัญสู่โอกาสอันยอดเยี่ยม
    • เมื่อเราชนะบททดสอบของจักรวาลได้ เราจะได้รับโอกาสใหม่เป็นรางวัล
    • ยอมรับบททดสอบ กำหนดกรอบความคิดใหม่ และรักษาภาวะอารมณ์ไฮไวบ์เอาไว้ด้วยการฟังเสียงยืนยันเชิงบวกก่อนนอนทุกคืน
    • พลังของการเลือกคือหนึ่งในเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการ manifest
    • บางครั้งเราชนะ บางครั้งเราได้บทเรียน — ทุกสิ่งมีศักยภาพที่จะสอนบทเรียนอันมีค่าให้เรา แทนที่จะมองว่าอะไรต่าง ๆ ผิดพลาดหรือถูกต้อง เรามองได้ว่าทุกอย่างคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
  5. โอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข)
    • ในวันที่เรารู้สึก low vibes เราสามารถหันไปหาความรู้สึกรู้คุณเพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ โอบรับความสำนึกรู้คุณโดยปราศจากเงื่อนไขสำหรับทุกสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน ยอมให้ความรู้สึกซาบซึ้งใจนั้นเปลี่ยนภาวะการดำรงอยู่ของเรา รับรู้ความรู้สึกยามที่ความสำนึกรู้คุณยกระดับ vibes ของเราให้สูงขึ้น
    • เรามีอะไรบางอย่างให้รู้สึกซาบซึ้งใจได้เสมอ ถ้าวันนี้เราไม่ซาบซึ้งในชีวิตของตัวเอง ให้จดจ่อกับสิ่งที่เป็นสากล
    • ความสำนึกรู้คุณ มี 3 หมวด
      • ความสำนึกรู้คุณตัวเอง
      • ความสำนึกรู้คุณชีวิต (เช่น งาน ครอบครัว เพื่อน ที่อยู่ ฯลฯ)
      • ความสำนึกรู้คุณโลก (ใดใดที่เป็นสากล เช่น แสงอาทิตย์ วัฒนธรรม ฯลฯ)
    • คนเรามักผูกความรู้สึกรู้คุณไว้กับเงื่อนไข (เช่น ฉันชอบงานของฉัน แต่จะดีกว่านี้ถ้า….) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนมีความกลัวในจิตใต้สำนึกว่าถ้าเรามีความสุขเต็มที่กับสิ่งที่มีอยู่ เราจะไม่ดิ้นรนขวนขวายหาอะไรเพิ่มเติมอีก ซึ่งเงื่อนไขมักกีดกันไม่ให้เรารู้สึกถึงและสัมผัสถึงความสำนึกรู้คุณได้อย่างแท้จริง
    • จุดบาลานซ์คือ เราต้องกระจ่างชัดเจนในภาพความคิดและสิ่งที่เราต้องการไปให้ถึง ขณะเดียวกันก็ต้องมีความสำนึกรู้คุณอย่างที่สุดกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    • How to บ่มเพาะและโอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข)
      • ทุกคืนหรือทุกเช้า เขียนสิ่งที่เราซาบซึ้งใจ 3 หมวด หมวดละ 5 เรื่อง
      • บันทึกความประทับใจเชิงบวก เขียนสิ่งดีทุกอย่างที่ประสบพบเจอในวันนั้น ๆ
        • เราอาจสรุปว่าวันนั้นแย่เพียงเพราะมีช่วงเวลาไม่ดีหนึ่งช่วงอยู่ในนั้น แต่ถ้าทบทวนสิ่งดี ๆ ทั้งหมดที่พบเจอ เราจะเห็นว่า ทุกวันเต็มไปด้วยหลายสิ่งที่เรารู้สึกประทับใจ
        • พบจดบันทึกความประทับใจเชิงบวกจนเป็นนิสัย สมองเราจะเริ่มมองหาโอกาสและช่วงเวลางดงามในแต่ละวันโดยอัตโนมัติ เราจะเริ่มสังเกตสิ่งดีงามรอบตัวมากขึ้น และยกระดับ vibes ให้สูงขึ้นตลอด
      • ทุกครั้งที่หงุดหงิดรำคาญใจ แค่ไล่เรียงสิ่งดีงามทั้งหมด
      • เปลี่ยนจาก ฉันจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ เป็น ฉันสามารถทำสิ่งนี้
      • ฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน — การนั่งสมาธิช่วยให้จิตใจทำงานช้าลง เปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดต่าง ๆ เข้ามา และเอื้อให้เพิ่มขีดความสามารถในการสำนึกรู้คุณ ด้วยการหนุนให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติได้ดีขึ้น
      • สังเกตสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตทั้งหลายทั้งปวง — ลองเขียนสิ่งรื่นรมย์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราชอบ 10 อย่าง
  6. เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
    • ความริษยาไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย มันเป็นแค่ภาวะอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญสิ่งที่ทำให้เราตั้งคำถามกับการเห็นคุณค่าในตนเอง
    • บ่อยครั้ง ความริษยาเป็นตัวแทนความกลัว กลัวว่าเราอาจจะสูญเสียอะไรบางอย่างที่เรารักและทุ่มเทกายใจและพลังให้ เรากลัวว่าถ้าคนอื่นได้อะไรบางอย่าง เราจะสูญเสียสิ่งที่เรามี (หลักคิดเรื่องความขาดแคลน) ดังนั้น วิธีปล่อยวางความริษยาคือการขจัดความกลัวและความกังขาอย่างต่อเนื่อง
    • การปฏิเสธหรือกลบฝังความริษยาไม่ส่งผลดี เพราะเราจะกักเก็บภาวะอารมณ์ low vibe ไว้กับตัว และมันจะหล่อเลี้ยงความไม่มั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเอง
    • แรงบันดาลใจ (ความอุดมสมบูรณ์ ไฮไวบ์) เป็นขั้วตรงข้ามของความริษยา (ความขาดแคลน โลว์ไวบ์)
    • การเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจคือการเลือกความคิดเชิงบวกที่สร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาสักเรื่อง เช่น เราสามารถใช้ความสำเร็จของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง เวลาที่เราได้แรงบันดาลใจจากความสำเร็จและประสบการณ์ของคนอื่น ๆ เราแสดงให้จักรวาลเห็นว่า เราเชื่อว่าโลกมีความรัก ความสุข และความสำเร็จสำหรับทุกคนมากล้น
    • มองหาคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา เพื่อให้จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกพิสูจน์ว่า สิ่งที่เราต้องการนั้นสามารถ manifest ให้เป็นจริงได้ ใช้มาขจัดความกังขา และช่วยในการนึกภาพให้มีรายละเอียดสมจริงยิ่งขึ้น
    • 4 ขั้นตอนที่เราต้องทำเพื่อเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
      1. ตระหนักรู้ความริษยา
      2. ขจัดความละอายใจ รักตัวเอง เห็นอกเห็นใจ เมตตา และไม่ตัดสินตัวเอง
      3. เรียนรู้จากมัน ถามตัวเองว่า การตัดสินผู้อื่นนี้ขับเคลื่อนจากสิ่งใด ความกลัวหรือความกังขาใดขับเคลื่อนสิ่งนี้ พวกเขามีสิ่งใดที่ฉันปรารถนาหรือ
      4. กำหนดกรอบมุมมองใหม่ เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
    • การรักตัวเองคือพื้นฐานในทุกขั้นตอนของ manifest ยิ่งเรารักตัวตนที่แท้จริงที่เราเป็นและที่กำลังจะเป็นมากเท่าไร เราจะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งรอบตัวน้อยลงเท่านั้น
  7. ไว้วางใจในจักรวาล
    • ความไว้วางใจอาจเป็นการล่วงรู้ว่า ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราแค่รู้ว่ามันจะเกิด มันคือการล่วงรู้โดยปราศจากข้อกังขาว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เราปรารถนาที่สุดกำลังมาหาเรา
    • จิตดลบันดาลคือการยอมตาม ยอมตามต่อการเดินทางที่จะนำพาเราไปถึงจุดนั้น (เหมือนการไว้วางใจและยอมตาม Google Map)
    • เมื่อเรามีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในจักรวาล ความกลัวและความกังขาย่อมไม่มีที่ทางจะดำรงอยู่ และสนับสนุนการยอมให้เราบ่มเพาะทัศนคติของการสำนึกรู้คุณ
    • เวลาที่เราไม่วิตกกังวลว่าจะได้อะไรมาอย่างไร เพราะเรารู้ดีว่าเราจะได้มาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น ฝึกความตระหนักรู้และความซาบซึ้งใจกับทุกสิ่งที่มีอยู่แล้วได้ดีขึ้น
    • ความไม่อดทนรอคือศัตรูของ manifesting เพราะมันจะเข้าขัดขวาง จังหวะเวลาอันเหมาะสม (Devine Timing)
      • ถ้าเราไว้วางใจในจังหวะเวลาอันเหมาะสม เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันและรู้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ควรเป็น
      • กระบวนการรอคอยเป็นบททดสอบต่อความเชื่อในตัวเองและการเห็นคุณค่าในตัวเอง
      • เวลาที่อะไรบางอย่างไม่เข้ามาหาเราโดยทันที จะเกิดพื้นที่ให้ความคิดเชิงลบ ความเชื่อที่บั่นทอน และความไม่มั่นใจ สัญชาตญาณอาจเอนเอียงไปสู่ความคิดลบ โดยยอมให้ความกลัวและความกังขาเข้ามา
      • เคล็ดลับคือการปล่อยวางการรอคอย ปล่อยวางความรู้สึกว่าจำเป็นต้องควบคุมทิศทางการเดินทางให้เป็นไปตามกำหนดเป๊ะ ๆ
    • เมื่อเราไว้วางใจในตัวเองและจักรวาล การปล่อยวางก็เป็นเรื่องง่าย
    • ความไว้วางใจคือกาวที่ยึดขั้นตอนแห่งจิตดลบันดาลทั้งหมดไว้ด้วยกัน
    • มองหาเรื่องบังเอิญ ช่วงเวลาประจวบเหมาะ และช่วงเวลาที่เราคิดอะไรบางอย่างและมันปรากฏต่อหน้า แล้วจดจำช่วงเวลาเหล่านั้น ยอมให้มัน “เสริมความไว้วางใจในจักรวาล” ให้เรา
@kwanmanie

สรุป 7 ขั้นตอนจากหนังสือ 💡 **Manifest: 7 Steps to Living Your Best Life by Roxie Nafousi** แนะนำ แนวทาง manifesting ที่ช่วยให้เราปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริง เปี่ยมพลังที่สุด รักตัวเองที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุด เสริมพลังให้เราใช้ชีวิตที่ดีที่สุดและดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ การงาน และทุก ๆ เรื่อง #รีวิวหนังสือ #booktok #manifest #manifesting

♬ original sound – Kwanmanie – ขมณ เกิดในร้าน vdo โตในโรงหนัง
*** สุดท้าย ***
- จิตดลบันดาลไม่ใช่แค่พลังแห่งเวทมนตร์ แต่เป็นแนวปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเองที่ใช้ดำเนินชีวิตได้
- จิตดลบันดาลไม่ใช่แค่การนำความอุดมสมบูรณ์เข้ามาสู่ชีวิต แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราโอบรับพลังของตนเองและปลดปล่อยศักยภาพที่เหลือเชื่อทั้งหมดในตัวออกมา
- แก่นหลักของจิตดลบันดาลคือการเห็นคุณค่าในตนเอง ความเชื่อด้วยจิตใต้สำนึกว่าเราสมควรได้รับสิ่งใด และความสามารถในการรักตัวเอง
- จิตดลบันดาลหนุนส่งให้เราบรรลุตัวตนที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ ผลักดันให้เราก้าวไปสู่ตัวตนที่แท้จริง และเปี่ยมพลังที่สุดของเราเอง และค้นพบความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวเพื่อเอาชนะความเชื่อที่บั่นทอน ความกังขา ความกลัว และความไม่มั่นใจ
- จิตดลบันดาลขอให้เราปล่อยวางสิ่งที่ไม่เอื้อต่อเราอีกต่อไป และจดจำไว้ว่าเราสามารถเป็นอะไรก็ตามที่เราปรารถนาจะเป็นได้
- ทุกสิ่งที่เราทำในแต่ละวันคือโอกาสสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้พลังแห่งจิตดลบันดาล ทุกสิ่งที่เราทำคือการแสดงออกถึงการรักตนเองและทุกการตัดสินใจของเราสามารถยกระดับการเห็นคุณค่าในตนเองและขับเคลื่อนให้เราเข้าใกล้ความฝันมากขึ้น

📌 พิกัดหนังสือ https://s.shopee.co.th/VpVslIcR7

Share this:

  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window)

Related

Total
0
Shares
Share 0
Tweet 0
kwanmanie

Movie Blogger | Essay Tutor

Trending Posts
  • รีวิว Mothers' Instinct: สันดานแม่
    รีวิว Mothers' Instinct: สันดานแม่
  • Homepage
    Homepage
  • สรุปหนังสือ MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา
    สรุปหนังสือ MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา
  • รีวิว Bones and All: มนุษย์กินคนก็มีหัวใจ
    รีวิว Bones and All: มนุษย์กินคนก็มีหัวใจ
  • รีวิว Little Women: สี่ดรุณี
    รีวิว Little Women: สี่ดรุณี
Follow Me
  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter
  • YouTube
Contact
Bangkok, Thailand
LINE ID: @kwanmanie
kwanmanieisworking@gmail.com
ABOUT KWANMANIE

ขวัญ จบอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เป็นบล็อกเกอร์ ชอบดูหนัง อ่านหนังสือ ซื้อกระเป๋า เลี้ยงแมว เลี้ยงต้นไม้ และเป็นติวเตอร์ เน้นสอน Essay Writing

KWANMANIE
  • Home
  • Courses
  • Films
  • Books
  • Lifestyle & Perspective
  • Study
  • About Me
Movie Blogger | Essay Tutor

Input your search keywords and press Enter.