ใน Ep.1 เที่ยวตุรกี 2023: อิสตันบูล & คัปปาโดเกีย – ผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ เราได้เล่าถึงแรงบันดาลใจในการไปเที่ยวคนเดียว สภาพอากาศและค่าเงินในช่วงที่เราไป (พ.ค. 2023) รวมถึงสรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปตุรกีไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาเล่าเรื่องราววันแรกหลังได้เหยียบพื้นแผ่นดินตุรกีกันแล้วค่ะ
หลังจากออกจากกรุงเทพฯ ประมาณตีสอง นั่งเครื่องประมาณ 7 ช.ม. มาลงโดฮา รอเวลาต่อเครื่องประมาณ 3 ช.ม. แล้วนั่งเครื่องต่อไปอิสตันบูลอีกประมาณ 4 ช.ม. ในที่สุดเราก็มาถึง Sabiha Gokcen International Airport (SAW) ตอนประมาณบ่ายโมงกว่าตามเวลาที่ตุรกี (ที่ตุรกี เวลาช้ากว่าไทย 4 ช.ม.) ก้าวแรกที่เราเดินออกจากสนามบิน สัมผัสแรกคือ อากาศดี ลมเย็นตีหน้า อุณหภูมิราว ๆ 15 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ ที่อิสตันบูลมีสนามบินนานาชาติ 2 แห่งด้วยกัน คือ Sabiha Gokcen International Airport (SAW) ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งเอเชีย และเป็นสนามบินที่เราได้ลงและขึ้นเครื่องตลอดทริปนี้ กับอีกแห่งคือ Istanbul Airport (IST) ซึ่งอยู่ฝั่งยุโรป โดยสนามบินทั้งสองอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 45-50 ก.ม.
ในบล็อกนี้ การแปลงค่าเงินจากเงินตุรกีเป็นเงินบาทไทย เราคิดตามเรท ณ ช่วงที่เราเดินทางไปตุรกีนะคะ (พ.ค. 2023)
Seamless Transfers
เราเดินออกจากหน้าสนามบิน SAW เพียงไม่กี่ก้าว ก็เจอรถบัสเข้าเมืองจอดรออยู่หลายคัน เรานั่งรถ Havabus ค่าโดยสาร 67.5 TRY ต่อเที่ยว (คิดเป็นไทยประมาณ 120 บาท) สามารถจ่ายเงินสดบนรถบัสได้เลย โดยทั้งจากต้นสายและปลายสาย รถจะออกเป็นรอบ ๆ เราได้รอบ 14:00 น. รถออกตรงเวลาเป๊ะ ๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม. ครึ่ง ไปสุดสายที่ข้าง Point Hotel ย่าน Taksim Square จากนั้นเราก็ลากกระเป๋าไปอีกประมาณ 5 นาทีเพื่อไปลงรถไฟใต้ดิน (metro) ที่สถานี Taksim ซื้อบัตร Istanbulkart ที่นี่ และนั่งไป 1 สถานี และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที เพื่อไปยังโรงแรมที่เราจองไว้
Istanbulkart เป็นบัตรโดยสารที่ใช้ในการเดินทางกับขนส่งสาธารณะแทบทุกประเภทในอิสตันบูล รวมถึงรถราง รถกระเช้า หรือแม้กระทั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่ง Bosphorus ก็ใช้บัตรนี้ได้ นอกจากสะดวกแล้ว ยังราคาถูก ค่าโดยสารต่อเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 20 บาทตลอดสายเท่านั้น ซึ่งถือว่าประหยัดค่าโดยสารไปเกือบ 50% เมื่อเทียบกับการเดินทางโดยไม่ใช้บัตรนี้ เราซื้อแบบบัตรแข็งจากตู้อัตโนมัติ Biletmatik ในสถานีเมโทร เสียค่าออกบัตร 50 TRY (ประมาณ 90 บาท) และเติมเงินในบัตรไปเท่าที่เราจะใช้ โดยรอบแรกนี้เราเติมไว้ก่อน 150 TRY (ประมาณ 270 บาท) แล้วต่อมา ในระหว่างทริป เราเติมเงินในบัตรเพิ่มอีกประมาณ 30 TRY (ประมาณ 55 บาท)
ที่อิสตันบูล นอกจากการคมนาคมขนส่งจะสะดวกสบาย หลากหลาย และราคาย่อมเยาแล้ว การเดินเท้าก็ไม่ลำบากและอากาศก็ดี ในย่านที่เราพักอยู่ ก็มีร้านรวงและผู้คนเดินพลุกพล่านแทบตลอด 24 ชั่วโมง มีตรอกซอกซอยฟีลยุโรปมากมายที่ทะลุไปมาหาสู่กันได้ โดยเฉพาะช่วงเย็น ผู้คนจะชอบมานั่งชิลล์หรือแฮงค์เอาท์กันตามถนน ริมน้ำ หรือตามร้านข้างทาง รถไฟใต้ดิน ที่นี่ก็ให้บริการ 6:00 – 24:00 น. ยกเว้นวันศุกร์กับวันเสาร์ที่เปิดให้บริการ 24 ช.ม. เลยทีเดียว
A Luxurious Stay
เราเลือกพักที่ The Marmara Pera Hotel ในย่าน Beyoğlu ฝั่งยุโรปของอิสตันบูล (เปรียบเสมือนย่านทองหล่อหรือสุขุมวิท) ที่สำคัญอยู่ใกล้กับรถไฟใต้ดินสถานี Sishane เพียงประมาณ 400-500 เมตร
เราไปคนเดียว เราเลยเลือกที่พักที่เรารู้สึกปลอดภัยและไปไหนมาไหนสะดวก เราพักที่ The Marmara Pera ทั้งหมด 4 คืน ค่าที่พักประมาณ 18,000 บาท เป็นห้องพักแบบ Superior, Sea View เพราะนานทีเที่ยวที เราอยากให้รางวัลตัวเอง เป็นวิว Bosphorus Sea สวย ๆ ทั้งวันทั้งคืน หรือถ้าใครเลือกห้องที่ธรรมดาลงมาหน่อย ไม่ซีเรียสเรื่องวิว ค่อยขึ้นไปดูวิวที่ rooftop ของโรงแรมเอาได้ ก็จะราคาเบาลงมาอีก ซึ่งชั้นบนของโรงแรมมันวิวสวยแบบ panorama และบรรยากาศดีมากจริง ๆ มีร้านอาหารที่ติดอันดับ The World’s 50 Best Restaurants ชื่อ Mikla อยู่บนนั้นด้วย
นอกจากจะใกล้ metro แล้ว โรงแรมยังอยู่เยื้องกับ Pera Palace Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อดัง มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน นักเขียนนิยายชุดชื่อดัง Agatha Christie (ผู้เขียน Murder on the Orient Express และ Death on the Nile) ก็เคยมาพักและมีห้องประจำที่นี่ (ห้อง 411) และเราเองก็เคยดูซีรีส์ตุรกีบน Netflix เรื่อง Midnight at the Pera Palace ซึ่งเล่าเรื่องราวเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นที่นี่ เราจึงรู้สึกใจฟูมาก ๆ ที่ได้เห็นโรงแรมแห่งนี้ทุกวันที่เราอยู่อิสตันบูล นอกจากนี้ จากโรงแรม เรายังสามารถเดินเท้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวหรือแลนด์มาร์กสำคัญ ๆ ได้อีกหลายที่ เช่น ถนนคนเดิน Istiklal Caddesi, Galata Tower, และสะพานปลา Galata Bridge ซึ่งจะเป็น destinations สำหรับ Day 1 ของทริปเราทั้งหมด
ROOFTOP The Marmara Pera ROOFTOP The Marmara Pera ROOFTOP The Marmara Pera
ถ้าจะทานอาหารเช้าของโรงแรม เราต้องจ่ายเงินเพิ่มจากค่าห้องต่างหากประมาณ 600-700 บาทต่อวัน วันแรก ๆ เราจึงเลือกหาอาหารเช้าทานเองข้างนอก เพราะจะได้ลองอาหารที่หลากหลายด้วย แต่เช้าวันสุดท้ายก่อนเชคเอาท์ เราเลือกทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่โรงแรมเลย ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดประสบการณ์ลิ้มลอง Traditional Turkish Breakfast ครั้งแรก
อาหารเช้าแบบตุรกีมีความหลากหลายอลังการ ถ้าใครงงไม่รู้จะเริ่มอะไรก่อนอะไรหลังดี อาจลองเริ่มจากชีสต่าง ๆ เพื่อเปิดประสาทการรับรสก่อน จะทานชีสเปล่า ๆ หรือทานคู่กับขนมปังหรือ simit (ขนมปังโรยงาของตุรกี ที่เป็นห่วง ๆ คล้ายโดนัท) ก็ได้ แล้วตามด้วยมะกอก แล้วค่อยตามด้วยไข่หรือสิ่งใดใดตามใจชอบ
Sunsets & Landmarks
เราถึงที่พักประมาณบ่าย 4 โมง แต่เนื่องจากเราไปช่วง late spring – early summer พระอาทิตย์ขึ้นไวและกว่าจะตกดินก็ประมาณสองทุ่มครึ่ง หลังจากเช็คอิน อาบน้ำ เปลี่ยนชุด และพักผ่อนในห้องสักพักแล้ว เราเลยยังมีเวลาอีกเยอะในการออกไปเดินเที่ยวเล่นและถ่ายรูปก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่แลนด์มาร์กแถว ๆ โรงแรม
เราเดินไป Galata Tower ซึ่งเป็นหอคอยเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1348 และเป็นแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปเช็คอิน แต่เราไม่ได้ซื้อตั๋วขึ้นไปดูวิวข้างบน เพราะวิวที่โรงแรมมันสูงและสวยกว่าอยู่แล้ว เราจึงเดินต่อไปยัง Galata Bridge เลย เป็นสะพานเก่าแก่พาดผ่านปากอ่าว Golden Horn เชื่อมระหว่างฝั่งย่าน Beyoğlu กับย่าน Sultanahmet ซึ่งเป็นสองย่านที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว บนสะพานมักมีผู้คนมายืนตกปลาเรียงรายกันตลอดทาง ส่วนด้านล่างของสะพานก็จะมีร้านอาหารและคาเฟ่เรียงรายเช่นกัน พ่อค้าที่นี่เฟรนด์ลี่กับนักท่องเที่ยวมาก ทุกคนล้วนเชิญชวนให้เข้าร้านกันอย่างแข็งขัน เราก็สุ่มเลือกมา 1 ร้าน เพื่อทานอาหารเย็นและนั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน
อาหารที่เขาแนะนำให้ลองทานที่ Galata Bridge คือ Fish sandwiches หรือ Balik Ekmek ส่วนเครื่องดื่ม เราประเดิมด้วย Ayran ซึ่งเป็นเครื่องดื่มโยเกิร์ต และเป็นเสมือนเครื่องดื่มประจำบ้านของคนตุรกี และราคาไม่แรง เราเคยดื่มที่ร้านอาหารตุรกีในกรุงเทพฯ แล้วชอบ พอมาถึงที่นี่ เราก็เลยดื่ม Ayran แทบทุกวัน เพราะรู้สึกว่ามันเข้ากับอาหารตุรกีแทบทุกอย่าง โดยมื้อแรกที่ตุรกีของเรา สนนอยู่ที่ 88 TRY (ประมาณ 160 บาท) แถมฟรี วิวพระอาทิตย์ตกดินริมน้ำสวย ๆ
Taksim Square Galata Tower Historic Tram
Galata Bridge Galata Bridge FISH SANDWICHES & AYRAN
พอมืดแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลง เรายังปรับตัวกับอากาศไม่ค่อยทัน เลยรู้สึกว่า เดินกลับโรงแรมไม่ไหวละ เปลี่ยนแพลนไปลงรถราง Tünel หรือ Tunnel ใต้ตึก IETT (Istanbul Electric Tramway and Tunnel) แทน ซึ่งก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง เพราะ Tünel มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว เป็นรถใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก London Underground ปัจจุบัน Tünel ให้บริการระหว่างสถานี Karaköy ซึ่งอยู่แถว ๆ Galata Bridge กับสถานี Beyoğlu ซึ่งอยู่แถว ๆ ถนน Istiklal Caddesi ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของอิสตันบูล โดยเราสามารถใช้บัตร Istanbulkart แตะขึ้น Tünel ได้เลย แล้วก็นั่งแค่ป้ายเดียวหรือเพียง 90 วินาที
พอขึ้นไป เราก็เดินกลับโรงแรม ผ่านถนน Istiklal Caddesi ทริปนี้เราเลยได้รูปและคลิป รถรางย้อนยุค (Nostalgic Tramvay) ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน โดยรถรางนี้มีมายาวนานตั้งแต่ปี 1869 ปัจจุบันให้บริการเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหลัก เพราะวิ่งแค่ระยะทางสั้น ๆ เพียง 1,640 เมตร บนถนน Istiklal Caddesi ระหว่าง Tünel-Taksim ตั้งแต่ 7 am – 10.20 pm แต่โดยส่วนตัว เราขอเดินถ่ายรูปเองจากถนนพอ ไม่ได้ลองขึ้นไปนั่งรถรางสีแดงนี้
เนื่องจากเราเดินทางข้ามโลกมาวันแรก อากาศก็เริ่มหนาว และเราก็ไม่ค่อยชอบที่ที่คนเยอะ ๆ สักเท่าไหร่ (ถนนนี้ ยิ่งดึก เหมือนยิ่งคึกคัก) สำหรับวันแรกนี้ ก็ต้องขอกลับไปพักผ่อนเอาแรงก่อน พรุ่งนี้จะไปตะลุย ย่าน Sultanahmet และต้องเดินอีกเยอะ!
Day 1 Recap 📍 Sabiha Gokcen International Airport (SAW) 📍 Point Hotel (Havabus Airport Transfer Stop) 📍 Taksim Metro Station - Sishane Metro Station 📍 Istiklal Caddesi 📍 The Marmara Pera Hotel 📍 Galata Tower 📍 Galata Bridge *DINNER* 📍 Tünel (F2) : Karaköy Station - Beyoğlu Station
ฝากติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ :)
To be continued…