ความเดิมตอนที่แล้ว The Hunger Games (2012)
- Katniss Everdeen (Jennifer Lawrence) อาสาเป็นตัวแทน District 12 ไปแข่ง The Hunger Games ครั้งที่ 74 แทน Primrose (Willow Shields) น้องสาวแท้ๆ ของเธอเอง โดย tribute ฝ่ายชายคือ Peeta Mellark (Josh Hutcherson) แห่งร้านเบเกอรี่
- Katniss กับ Peeta แสร้งแสดงเป็น “star-crossed lovers” จนชนะเป็น victor ของ The Hunger Games ครั้งที่ 74 ทั้งคู่ในที่สุด
ความเดิมตอนที่แล้ว Catching Fire (2013)
- Katniss กับ Peeta ต้องแสร้งเป็นคู่รักกันต่อไปเพื่อตบตาประชาชนและให้ President Snow (Donald Sutherland) เชื่อ ซึ่งนั่นทำให้ Gale (Liam Hemsworth) เจ็บหนักเลยทีเดียว
- The Hunger Games ครั้งที่ 75 เป็นกติกาพิเศษ ผู้พิชิตจาก The Hunger Games ครั้งที่ 1 – 74 ที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องมาเข้าพิธี Reaping ไปลงสนามอีกครั้ง ซึ่ง Victor ของ District 12 ก็ไม่พ้น Katniss & Peeta
- Haymitch (Woody Harrelson) mentor ของทั้งสอง ร่วมมือกับหัวหน้าเกมเมคเกอร์ Plutarch (Philip Seymour Hoffman) และ Finnick District 4 (Sam Claflin) ลักลอบพา Katniss หนีออกมาจากสนามระหว่างการแข่งขัน
- Katniss ถูกช่วยพาออกไปได้สำเร็จ แต่ Peeta ถูก Capitol จับตัวไป และ Capitol ก็เอาระเบิดไปบอมบ์ District 12 ล้างบางไม่เหลือซาก
ความเดิมตอนที่แล้ว The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 (2014)
- Katniss ถูกพาไปยัง District 13 ซึ่งมีกลุ่มกบฏรวมตัวกันอยู่ใต้ดิน ภายใต้การนำของ President Coin (Julianne Moore) และตกลงเป็น Mockingjay ให้ President Coin
- Cressida จาก Capitol (Natalie Dormer) ถ่ายทำรายการถ่ายทอด Mockingjay ออกอากาศทั่วประเทศ Panem ปลุกระดมคนทุก District ให้ลุกฮือขึ้นมาเป็นกบฏต่อต้าน President Snow
- ขณะเดียวกัน Peeta ก็ถูก Capitol จับออกอากาศเพื่อรับมือกับ Propaganda ของกลุ่มกบฏ และบังคับให้ Peeta พูดตามสคริปต์ที่ Capitol เขียนไว้ เทปถูกตัดกะทันหันตอนที่ Peeta พยายามบอก Katniss ทางทีวีว่า District 13 กำลังถูกโจมตี คำเตือนของ Peeta ทำให้ District 13 รอดตายจากระเบิดนิวเคลียร์ของ Capitol
- Gale กับ Boggs (Mahershala Ali) นำทหารไปชิงตัว Peeta, Johanna District 7 (Jena Malone) และ Annie District 4 (Stef Dawson) กลับมา District 13 แต่ Peeta ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาถูกล้างสมองมา เขาจึงจำอะไรไม่ได้เลย และถูกโปรแกรมมาว่าเขาจะต้องฆ่า Katniss Everdeen
เรื่องย่อ The Hunger Games: Mockingjay – Part 2 (2015)
เมื่อสงครามจริงอุบัติขึ้น President Coin ได้จัด Katniss, Peeta, Gale, และ Finnick เข้าไปอยู่ในกองเดียวกับ Boggs ภายใต้ชื่อ Squad 451 หรือ Star Squad คือเป็นกองทหารที่ไม่ได้มีไว้เพื่อรบจริง หากแต่มีไว้เพื่อเผยแพร่ภาพ Mockingjay ออกรบสวยๆ ก็เท่านั้น อย่างไรก็ตาม Katniss มีจุดประสงค์แอบแฝงแบบเป็นเป้าหมาย to-do-list ตั้งมั่นเลยว่า เธอจะต้องฆ่า President Snow ให้จงได้
แต่การจะมุ่งหน้าไปทำเนียบของ President Snow นี่ไม่ง่ายเลย เพราะเขาตั้ง “Pods” หรือกับดักไว้ทั่วบ้านทั่วเมือง เดี๋ยวก็เจอไฟล้างมัน เดี๋ยวก็เจอทะเลน้ำมัน เดี๋ยวก็เจอสัตว์ mutts ไล่ล่า พูดง่ายๆ คือ Capitol ถูกเกมเมคเกอร์เนรมิตให้กลายเป็นสนาม The Hunger Games ครั้งที่ 76 ไปแล้วนั่นเอง
Read More: วิเคราะห์ Mockingjay ควรแบ่งเป็นสองพาร์ทหรือไม่?
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Hunger Games: Mockingjay – Part 2
ปีที่แล้ว หลายคนอาจจะผิดหวังเบาๆ กับ Mockingjay – Part 1 ไปบ้าง เพราะพาร์ทนั้นเล่าเรื่องจากในหนังสือแค่จาก Chapter 1 – Chapter 13 ซึ่งยังเป็นแค่ช่วงของการปูเรื่องหรือจุดเริ่มต้นของสงคราม มีก็แต่ Propaganda War ถกไปถกมา
แต่เรารับรองว่า Mockingjay – Part 2 ไม่เป็นอย่าง Part 1 แน่นอน เพราะเรื่องราวครึ่งหลังของฉบับหนังสือหรือหนัง Mockingjay – Part 2 นี้ จะเป็นสงครามแบบเรียลเลย เข้มข้นมากขึ้น มีฉากแอ็คชั่นทริลเลอร์มากขึ้น (แต่ก็ไม่ได้บู๊อะไรมากมายนะ เพราะโดยพื้นฐานแฟรนไชส์ชุดนี้ไม่ใช่หนังบู๊) และแน่นอนว่า อลังการงานสร้างมากขึ้น ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
ในส่วนของเนื้อเรื่อง Suzanne Collins เขาเขียนต้นฉบับมาดีอยู่แล้ว สถานการณ์ก็ช่างเข้ากันดี๊ดีกับเหตุการณ์บ้านเมืองอันร้อนระอุทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามสื่อข้อมูล รัฐบาลเผด็จการ การเมือง รายการบังคับดู หรือการก่อการร้าย (บล็อกนี้จะไม่ขอลงดีเทลประเด็นเหล่านี้เยอะ เพราะกลัวว่าบล็อกจะโดนอุ้ม กลัวจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติ กลัวจะติดเชื้อในกระแสโลหิต) บทสรุปของไตรภาคก็…สมบูรณ์แบบ… งดงามตามครรลอง
Francis Lawrence ผู้กำกับ เขาก็เคารพต้นฉบับดี โดยภาพรวมเส้นเรื่องของหนังนี่เหมือนในหนังสือเด๊ะๆ แถมผู้กำกับยังเก่งอีกต่างหากที่สามารถเลือกหยิบจับประเด็นหลักสำคัญจากในหนังสือออกมาเล่าบนแผ่นฟิล์มได้อย่างครบถ้วน อาจจะมีปรับเปลี่ยนดีเทลเล็กๆ บ้างนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการดัดแปลงที่ส่งผลไปในทางบวกมากกว่าทางลบ
ถึงแม้หลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากบู๊ จะทำออกมาสนุกกว่าในหนังสือ แต่ Francis Lawrence ก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง คือเขายังไม่สามารถทำซีนอารมณ์หรือซีนที่สำคัญๆ ออกมาได้พีคขยี้หัวใจอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ฉากที่ตัวละครสำคัญตาย ในหนังสือเขาเล่าได้เจ็บปวดรวดร้าวมาก เราอ่านนี่น้ำตาไหลตามเลย แต่ในหนัง มันไม่ได้อิมแพคคนดูขนาดนั้น คนที่ไม่เคยอ่านหนังสืออาจจะไม่อินเท่ากับคนที่อ่านมาแล้ว
(หวังว่า ประโยคที่เราบอกว่า มีตัวละครสำคัญตาย จะไม่เป็นการสปอยล์นะคะ เพราะปกติใน The Hunger Games มันก็มีคนตายเป็นเบือแข่งกับ Game of Thrones อยู่แล้ว และอีกอย่างเราก็ยังไม่ได้บอกชื่อแบบเฉพาะเจาะจงด้วยว่าใครอยู่ใครตาย)
นอกจากนี้ ในหนังจะไม่ค่อยเน้นหนักไปที่ประเด็นครอบครัวเท่าในหนังสือ อาจจะเป็นเพราะว่าแค่การเมืองกับรักสามเส้าก็แน่นพอแล้ว แทนที่จะเน้นครอบครัว เขาก็เลือกเน้นประเด็นการเมืองซึ่งทันสมัยโดดเด่นกว่าจะดีกว่า ส่วนประเด็นความรักนั่นก็คงทิ้งไม่ได้ เพราะเหมือนเป็นจุดขาย ดาราของเขาหน้าตาดีกันทั้งนั้น ว่าไม่ได้
สำหรับชื่อเรื่องที่ตั้งว่า Mockingjay ตั้งตามชื่อนกพันธุ์ทางชนิดหนึ่ง (ผสมกันระหว่างนก Jabberjay กับ Mockingbird) ที่อยู่บนเข็มกลัดของ Katniss แต่ที่ล้ำลึกกว่านั้นคือเจ้านกชนิดนี้มีคุณสมบัติสำคัญคือ มันสามารถจดจำเสียงและเลียนเสียงนั้นๆ มาได้
Katniss ก็เช่นกัน เธอเหมือนถูกสวมหัวโขน ให้พูดและทำตาม President Coin หรือสคริปต์ของ Plutarch เพื่อปลุกระดมกบฏทั้งประเทศ Panem (เออ Peeta ก็เช่นกัน) ซึ่งจะว่ากันตรงๆ เธอก็เหมือนเบี้ยตัวหนึ่งของ District 13 นั่นแหละ ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนเป็นหมากในเกมของ Capitol ในภาคแรกๆ สักเท่าไหร่
และในภาคจบนี้ มันอาจจะถึงเวลาแล้วแหละที่ Mockingjay ตัวนี้ จะเลิกเป็นเบี้ยของคนอื่น เลิกท่องหรือพูดตามสคริปต์สวยหรู และได้พูดจากเสียงจริงๆ ของเธอเองเสียที
ในส่วนของนักแสดง ชื่นชมเลยว่านักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดีมาก พวกเขาทำให้คนที่รักหนังสืออยู่แล้วอย่างเรา…ตกหลุมรักตัวละครทั้งหลายเหล่านี้มากขึ้น (แต่ไม่รู้ว่าคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือ จะอินและฟินเท่าเราหรือเปล่านะ)
อย่างที่บอกตะกี๊ว่า ตัวหนัง Mockingjay – Part 2 เนี่ย ตรงตามหนังสือเด๊ะๆ 90% เลย ทั้งเนื้อหาและไดอะล็อกสนทนา แต่คนที่อ่านหนังสือมาแล้วอย่างเรา กลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด เพราะนักแสดงทุกคนพูดไดอะล็อกนั้นๆ ออกมา และแสดงอากัปกิริยาของตัวละครนั้นๆ ออกมา ได้มีชีวิตชีวาเหนือภาพที่เราจินตนาการไว้สูงลิ่วเลย โดยเฉพาะ Jennifer Lawrence
นางเอกคนเก่ง Jennifer Lawrence นี่สมกับเป็นเจ้าของตุ๊กตาทองออสการ์สาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่ชมไม่ได้เลย เพราะสำหรับเราแล้ว เราว่า Jennifer Lawrence เป็น Katniss ที่ดีที่สุดเลย พัฒนาการการแสดงของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเธอเติบโตไปพร้อมๆ กับตัวละคร Katniss ของเธอ ที่อยู่กับเธอตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมค่าตัวนางถึงแพงวันแพงคืน
สำหรับการแสดงภาคจบของเธอ เจนลอว์เธอสตรองและทรงพลังจริงๆ เล่นดีจนไม่รู้จะดียังไง ไร้ที่ติเลยแหละ ขนาดซีนทะเลาะกับแมว เธอยังเล่นได้ขนลุกทั้งที่แมวมันไม่ได้ส่งอารมณ์อะไรกลับมาให้เธอเลย (ฮา) ที่สำคัญเธอไม่ได้เล่นดีแค่ตัวเธอเองคนเดียวเท่านั้น แต่แสนยานุภาพของเธอยังทำให้ภาพรวมของหนังออกมาดีมากๆ อีกด้วย
ส่วน Liam Hemsworth คนนี้นี่ เราก็ยังขอวิจารณ์คำเดิมว่า ถึงแม้บทจะเยอะขึ้นและรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่องขนาดไหน เขาก็ยังไม่มีเสน่ห์และพาวเวอร์ทางการแสดงเมื่อเทียบกับ Josh Hutcherson
Josh Hutcherson ถึงแม้จะเตี้ย ดูเหยาะแหยะๆ พูดง่ายๆ ไม่ค่อยจะหล่อ แต่การแสดงของเขาไม่ธรรมดาเลยนะ แล้วในภาค Finale นี้ ไม่รู้เพราะผมสีทองของเขาหรืออะไร ภาคนี้เขาหล่อออร่ามากๆ หล่อจนนี่ขอกลับคำกลับใจ แถมบทของเขาก็ชวนให้หันมาเห็นใจ เพราะเขาจำอะไรไม่ได้เลย ควบคุมตัวเองก็ไม่ได้ เล่นมาอีหรอบนี้ คนดูไม่รักไม่สงสารก็บ้าแล้ว
อย่างไรก็ดี โดยสรุป Mockingjay – Part 2 เป็นหนังภาคจบที่สนุก สวยงาม และสมบูรณ์แบบ ถึงแม้บางซีนจะทำออกมาไม่ได้เท่าในหนังสือเขียนบรรยาย แต่หลายๆ ฉากก็ทำได้ดีกว่าหนังสือ อย่างฉากต่อสู้ใต้ดินกับพวก mutt นะ พีคมากๆ เลย (ดูแล้ว ก็แอบสงสัยเบาๆ ว่า The Maze Runner กับ Mockingjay นี่ใครได้แรงบันดาลใจมาจากใครกันแน่)
คือรวมๆ ไม่ผิดหวังนะ โดยเฉพาะ Jennifer Lawrence ที่มักจะทำอะไรได้เหนือความคาดหมายประชาชนได้เสมอๆ เช่นเดียวกับ Katniss Everdeen สาวน้อยผู้มากับไฟ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
Mockingjay – Part 2 เข้าฉาย 19 พ.ย. 2015 ในโรงภาพยนตร์
ป.ล. ใครจะไปดู โปรดเลี่ยงสปอยล์เข้าไว้นะจะบอกให้ ในส่วนของบล็อกนี้ของเรา เราก็พยายามเขียนให้เลี่ยงสปอยล์คนอ่านให้มากที่สุด และเดี๋ยวจะไปสปอยล์เต็มๆ กับบทวิเคราะห์และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างหนังกับหนังสืออีกทีแยกกันต่างหากในบล็อกหน้า “Mockingjay Part 2: ความแตกต่างระหว่างหนังกับหนังสือ“
READ MORE:
43 comments