เราดูและเขียนรีวิวหนัง “ขุนพันธ์” ตั้งแต่ภาคแรก จนเดินทางมาสิ้นสุดไตรภาคขุนพันธ์วันนี้ ต้องบอกเลยว่า หนังมันพัฒนาขึ้นทุกภาคจริง ๆ เหมือนกับว่า คุณก้องเกียรติ โขมศิริ รับคำวิจารณ์ทั้งข้อดีและข้อเสียไปใช้ปรับปรุงในการกำกับหนังเรื่องต่อ ๆ ไปของเขาจริง ๆ
เราคิดว่า หนังของคุณก้องเกียรติเป็นหนังไทยที่เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมหนังไทย อย่างแรกคือความสร้างสรรค์ ที่ไม่ได้พาคนดูวนเวียนอยู่กับหนังไทยที่เป็นแค่หนังรัก หนังผี หนังตลก หรือหนัง/ละครที่รีเมครอบแล้วรอบเล่า เช่น “ขุนแผนฟ้าฟื้น” (2019) ก็ทำให้วรรณคดีไทยเข้าถึงได้สำหรับคนรุ่นใหม่มากขึ้น หรืออย่างไตรภาคขุนพันธ์นี้ ก็ทำเป็นหนังแอ็คชั่นที่แปลกใหม่สำหรับหนังไทย มีความจักรวาล Avengers มีความเอาเรื่องที่ดูโบราณคร่ำครึ อย่างเช่น คาถาอาคม มาทำให้แฟนตาซีและน่าสนใจขึ้น นอกจากนี้ยังสอดแทรกประเด็นการเมืองและระบอบสังคมได้อย่างแยบยล
ขุนพันธ์ 3 นี้ เสมือนงานส่งท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด… มั้ง?) ของแฟรนไชส์นี้ ที่ปล่อยของกันแบบไม่ยั้ง แอ็คชั่นแน่น มาครบทั้งปืนผาหน้าไม้ มีดดาบ อาคม จระเข้ ซอมบี้ ฯลฯ แฟนตาซีแบบจัดเต็มเท่าที่ทำได้ ถ้าพูดภาษาโป๊กเกอร์ก็คือ “All-in” ในส่วนของซีจี มันก็มีลอย ๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมเขาทำดี เอาจุดเด่นมากลบจุดด้อยได้หมด หนังมันพาไปสุดเหมือนลืมใส่เบรค
แฟรนไชส์ขุนพันธ์สร้างจากชีวประวัติของพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (บุตร พันธรักษ์) อดีตนายตำรวจชื่อดังที่ปราบเสือตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยมาตั้งแต่ยุคสงครามโลก แต่หนังไม่ได้เล่าในเชิงอัตชีวประวัติหรือหนังอิงประวัติศาสตร์ทั่วไป หากแต่ใส่ความแฟนตาซีลงไป
ในทุก ๆ ภาค เหล่าเสือก็จะมีวิชาอาคมเช่นเดียวกับท่านขุน ซึ่งถ้าเป็นหนังไทยสไตล์เก่า คนรุ่นใหม่ก็อาจจะมองว่าของแบบนี้มันเชย งมงาย ล้าหลัง เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ฯลฯ แต่คุณก้องเกียรติทำให้ของเหล่านี้มันทันสมัย มีเสน่ห์ ตื่นเต้น และน่าติดตาม เหมือนดูหนังเวทมนตร์คาถา Harry Potter หรือดู Scarlet Witch กับ Dr. Strange แห่งจักรวาล Marvel
โดยในหนังภาคแรก ท่านขุน (อนันดา เอเวอริงแฮม) ไปปราบโจรแดนใต้… จอมโจรอัลฮาวียะลู (พี่น้อย-วงพรู) ในภาคต่อมา ท่านขุนไปปราบโจรภาคกลาง เสือฝ้าย (ผู้พันเบิร์ด วันชนะ) และ เสือใบ (เป้ อารักษ์) ส่วนในภาค 3 นี้ ท่านขุนต้องปะทะกับเสือมเหศวร (มาริโอ้ เมาเร่อ) และเสือดำ (โตโน่ ภาคิน) ซึ่งในภาคสุดท้ายนี้ อาคมของท่านขุนเริ่มเสื่อมนิด ๆ และก็เริ่มมีบ่วง (ครอบครัว) แล้วด้วย
ภาค 3 นี้ เหมือนหนังรวมดาว ตัวละครเยอะ คนมาเยอะก็ทำได้สมมง ส่วนคนมาน้อยก็ถือว่าน้อยแต่มาก แต่ละคนล้วนได้มีซีนน่าจดจำ… จนบางทีก็ดูพยายามไปหน่อยที่จะให้ทุกคนมีซีนของตัวเอง เช่น ฉากที่หมอสา (ฟ้า ษริกา) ปะทะจระเข้ มีช่องโหว่ มีจุดที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ แต่คนดูก็ให้อภัยได้แหละ เพราะฉากจระเข้ไม่กี่นาทีในเรื่องนี้มันสนุกกว่าหนังไทยเรื่องหนึ่งที่เอาพระเอกไปอยู่กับจระเข้ทั้งเรื่องนั่นอีก
ส่วนคู่ปรับของท่านขุนในภาคนี้ เราคิดว่าถ้าเราตัดอคติออกไป โตโน่คือเล่นดีเลย เด่นกว่ามาริโอ้ด้วยซ้ำ แต่ MVP จริง ๆ ของภาคนี้ สำหรับเราคือ เอม ภูมิภัทร ที่รับบทเทพทัต นายทหารหนุ่มอนาคตไกล (ซึ่งหลัง ๆ มา สำหรับเรา เอมก็ MVP แทบทุกเรื่อง และเหมือนหนังไทยที่กำลังทยอยตามมาในปีนี้ แทบทุกเรื่องมีชื่อเอมร่วมเล่นทั้งสิ้น)
สำหรับเรา ขุนพันธ์ 3 เป็นหนังไทยแห่งปี (และในรอบหลายปี) เป็นตัวแทนหมู่บ้าน เป็นอนาคตและหน้าตาของอุตสาหกรรมหนังไทย คนไทยควรสนับสนุนอย่างยิ่ง ซึ่งรับประกันว่าคนดูจะไม่ใช่แค่คุ้มค่าตั๋วเท่านั้น เพราะเซอร์ไพรส์แน่น และใส่ไม่ยั้งเหนือความคาดหมาย… เรียกว่ากำไรคนดูแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับคอหนังไทยและหนังแอ็คชั่น สนุกจริง ไม่ใช่อุปาทานหมู่ ต้องดูในโรง!