Godzilla: King of the Monsters อาจขึ้นชื่อว่าเหมือนจะเป็นหนังภาคต่อ แต่จริง ๆ แล้ว โดยส่วนตัวเราก็รู้สึกว่า ตอนที่ดูเรื่องนี้ก็เหมือนดูหนังภาคแรกมากกว่าดูหนังภาคต่อของ Godzilla (2014) และ Kong: Skull Island (2017) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ Godzilla (2014) ไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำมาก นอกจากฉากพี่ก๊อดชาร์จและพ่นไฟในฉากไคลแมกซ์ และ Kong ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ Godzilla โดยตรงอะไรมากเช่นกัน (คือตอนที่ดู Kong ก็ไม่จำเป็นต้องดู Godzilla มาก่อนก็รู้เรื่อง ครั้งนี้ก็คือ ๆ กัน)
ถ้าพูดตามหลักการ Godzilla (2014), Kong: Skull Island (2017), และ Godzilla: King of the Monsters อยู่ในจักรวาลเดียวกัน กล่าวคือ โลกในหนังจักรวาลนี้มีอสูรกายจำศีลอยู่ตามที่เร้นลับต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก หนึ่งในนั้นคือ Godzilla ที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อปี 2014 ซึ่งก็มาเป็นพระเอกอีกครั้งในภาคนี้ ร่วมกับมอนสเตอร์ที่เป็นตัวร้ายและตัวประกอบอื่น ๆ ได้แก่ Mothra, Ghidorah ฯลฯ แต่ที่เด่นสุดแบบมาเป็นคู่ปรับชิงบัลลังก์คิงกับตัวเอกเลยก็คือ Ghidorah ที่เป็นเหมือนมังกรสามหัว (ส่วน Kong ถูกเมนชั่นถึงเรื่อย ๆ แต่ไม่ปรากฏตัวให้เห็น สงสัยการคมนาคมออกจากเกาะกะโหลกมายังเมนแลนด์ยังไม่ค่อยสะดวกนัก)
นอกจากสัตว์ประหลาดตีกันแล้ว ก็จะมีพาร์ทมนุษย์ หลัก ๆ คือดราม่าครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ Russell อันประกอบไปด้วย พ่อ Mark (Kyle Chandler จาก Manchester by the Sea) และแม่ Emma (Vera Farmiga จาก The Conjuring) ซึ่งทั้งสองทำงานกับ Monarch องค์กรเกี่ยวกับมอนสเตอร์ และมีลูกสาวเหลือหนึ่งคนชื่อ Madison (Millie Bobby Brown จาก Stranger Things) ส่วนลูกชายคนโตเสียชีวิตจากเหตุการณ์ Godzilla (2014)
Emma สร้าง Orca เครื่องมือที่ใช้สื่อสารกับมอนสเตอร์ขึ้น และทันใช้เมื่อสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งตื่นขึ้นมาพอดี แต่ในวันเดียวกัน Colonel Jonah Alan (Charles Dance จาก Game of Thrones) ก็บุกมาพอดี เอาไปทั้งเครื่อง Orca และสองแม่ลูก Russel ทีม Monarch นำโดย Dr. Ishiro Serizawa (Ken Watanabe จาก Inception) กับ Dr. Vivienne Graham (Sally Hawkins จาก The Shape of Water) จึงไปแจ้งและพา Mark กลับมาร่วมทีม
จริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้มีดาราดี ๆ อีกหลายคน เรียกว่ารวมดาวเลยก็ว่าได้ มันก็เลยช่วยให้หนังในพาร์ทมนุษย์พอจะมีพลังขึ้นมาอยู่บ้าง เพราะถ้าไม่มีบารมีและสกิลของนักแสดงช่วยพยุงด้วยแล้ว พาร์ทมนุษย์จะป่วยหนักกว่านี้มาก (อย่างน้องหนู Millie Bobby Brown นี่คือดีมาก เท่าที่ดีได้ ด้วยข้อจำกัดของบทที่ได้รับ ถ้าไม่ใช่เธอเล่น เราอาจรู้สึกรำคาญเด็กคนนี้ได้อีก) แต่มองอีกแง่นึงคือ ถ้าทำให้บทพาร์ทมนุษย์มันดีไม่ได้ ก็ลดจำนวนหรือบทบาทของมนุษย์ลงไปเถอะ เพราะดาราใหญ่หลายคนที่เอามา ก็ถูกใช้ไม่คุ้มเลยอยู่แล้ว แล้วไปเล่นซีจีให้สุด ๆ ไปซะ จะได้สาแก่ใจคนดู
บทและการเล่าเรื่องมันน่าเบื่อมาก เช่น ประเด็นสัตว์ประหลาดเชื่อมโยงกับภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเป็นแรงจูงใจของตัวละครที่น่าเซอร์ไพรส์อะไร แต่ Godzilla: King of the Monsters ก็ยังมีความสามารถในการถ่ายทอดแรงจูงใจที่ทำให้สตรองได้ไม่ยากนั้นกลับให้ดูบางเบาและดูไร้สาระได้อีก
ส่วนพาร์ทมอนสเตอร์ ก็ถือว่าสัตว์ประหลาดต่าง ๆ นานาออกเยอะอยู่ ซีจีแน่นจอ ความวินาศสันตะโรก็มอดไหม้วอดวายทั้งแผ่นดินอย่างถอนรากถอนโคนจริง รวมถึงฉากไคลแมกซ์การต่อสู้ของว่าที่คิง (Godzilla vs. Ghidorah) ก็จัดหนักจริง ๆ แต่ซีนที่น่าจดจำก็ไม่มีอะ และโดยรวมมันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่หรือสนุกมากมายอะไรขนาดนั้น อาจจะเพราะมันตัดไปที่มนุษย์บ่อยด้วยก็ส่วนหนึ่ง
แต่เรื่องความสนุกของฉากต่อสู้ อันนี้คงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วยแหละ คนอื่นไปดูอาจจะสนุกก็ได้ อีกอย่างคือ เราไม่ได้ดูในโรง IMAX ด้วย เชื่อว่าหากได้ดูใน IMAX คงยิ่งใหญ่อลังการและดูมัน(ส์)กว่านี้หน่อยนึง
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าเสียดายคือ ตามความรู้สึกของเรา หนังมันไม่ได้สเกลเป็น King of the Monsters อะไรขนาดนั้น เพราะมอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ ซีนน้อยมาก แม้แต่ควีนก็ซีนน้อย (แต่ก็เข้าใจแหละว่าเปลืองซีจี) สุดท้ายมันก็คือ Godzilla vs. Ghidorah นั่นแหละ แต่สุดท้ายเค้าก็จะให้มันลงให้ได้แหละว่า ระหว่างสองตัวนี้ ถ้าตัวไหนชนะ ตัวอื่น ๆ จะมาคุกเข่าให้และสถาปนาให้เป็นคิง
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10 (รวมคะแนนพิศวาสแก่น้องหนู Millie Bobby Brown แล้ว)
ป.ล. ยังไงก็รอดู Godzilla vs. Kong อยู่นะ อยากรู้เหมือนกันว่าพี่คองจะเอาอะไรไปสู้พี่ก๊อดพ่นไฟ
30 comments
Comments are closed.