Deepwater Horizon เป็นหนังที่เรารอคอยมาเกือบครึ่งปี ได้ดูเทรลเลอร์ในโรงหนังมาแล้วกว่าสิบรอบ รู้สึกอยากดูตั้งแต่เทรลเลอร์ยังไม่มีอะไรมากนอกจากลูกสาวตัวน้อยของพระเอกอ่านเรียงความเกี่ยวกับงานของพ่อเธอซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง
เรื่องย่อ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนัง Deepwater Horizon
Deepwater Horizon สร้างจากเหตุการณ์จริงของวันที่ 20 เมษายน 2010 หนึ่งในหายนะกลางทะเลจากน้ำมือมนุษย์ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เทียบเคียงเหตุการณ์เรือยักษ์ไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งเมื่อเมษายน 1912
- แท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่ากว่า 560,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ระเบิดกลางอ่าวเม็กซิโก มหาสมุทรแอตแลนติก
- เจ้าหน้าที่และคนงาน 126 คนต้องหนีตายท่ามกลางเปลวเพลิงอย่างอลหม่าน มีผู้เสียชีวิต 11 ราย
- แท่นขุดเจาะหนักกว่า 32,000 ตันจมลงสู่ก้นมหาสมุทรในเวลาเพียง 36 ชั่วโมง
- น้ำมันรั่วไหลกว่า 210,000,000 แกลลอน (ใช้ขับวิ่งรอบโลกได้ 184,181 รอบ)
- แผ่อาณาเขตการรั่วไหลใหญ่เท่านิวยอร์ก 5 รัฐรวมกัน
Deepwater Horizon กำกับโดย Peter Berg (จาก Lone Survivor และ Battleship) นำแสดงโดย Mark Wahlberg (จาก Lone Survivor, Ted ฯลฯ), Kurt Russell (จาก The Hateful Eight), Dylan O’Brien (จาก Maze Runners), Gina Rodriguez (จากซีรีส์ Jane the Virgin), และ Kate Hudson (จาก How to Lose a Guy in 10 Days)
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์หนัง Deepwater Horizon
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทุ่มทุนสร้างกว่า 160 ล้านเหรียญฯ และทุ่มกับงานโปรดักชันอลังการงานสร้างมาก ทีมงานลงทุนสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมดในแท็งก์น้ำขนาดยักษ์ ด้วยสเกลใหญ่ยักษ์ 85% หรือเกือบเท่าแท่นจริง ๆ กลางทะเล โดยไม่อิงโมเดลหรือ CGI อีกทั้งยังใช้โคลนจริงอีกหลายแสนแกลลอนต่อวัน เพื่อเนรมิตภาพโคลนพุ่ง และใช้ไฟจริงความร้อนกว่า 130 องศาฯ เพื่อให้การถ่ายทำออกมาสมจริงที่สุด
ดังนั้น หากถามว่า อะไรคือเหตุผลสำคัญที่สุดที่คุณไม่ควรพลาดชม Deepwater Horizon บน IMAX หรือโรงภาพยนตร์คุณภาพใกล้บ้านคุณ เราตอบได้ทันทีโดยไม่คิดเลยว่า… ทีมงานเขาทุ่มทุนและตั้งใจให้ทั้งภาพทั้งเสียงออกมาสมจริงขนาดนี้แล้ว คนดูอย่างเราคงขาดทุนแย่… ถ้าขืนนอนดูหนังเรื่องนี้ที่บ้าน… ด้วยจอที่เล็กกว่าและซาวนด์เสียงที่กระหึ่มน้อยกว่าร้อยเท่า…
ตามความรู้สึกส่วนตัว ความสมจริงเต็ม 100 ให้ 100 เลยนะ แล้วประเด็นคือ มันไม่ใช่แค่ฉากตอนระเบิดแล้วไหม้แล้วเท่านั้นนะที่โคตรสมจริง (ย้ำว่า โคตรสมจริง ยิ่งดู IMAX ซาวนด์ดีมาก อย่างกับเราไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ ตัวละครหูอื้อ เราก็หูอื้อตามตัวละคร) ฉากก่อนเกิดเหตุการณ์ระเบิดก็บอกเล่าเรื่องราวของคนบนแท่นได้อย่างดีและจำลองเหตุการณ์ให้เราเข้าใจด้วยว่า “ทำไมแท่นระเบิด”
อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับคนนี้ยังมีข้อควรปรับปรุงอยู่ในส่วนของการทำพาร์ทดราม่า เพราะเราดูแล้วเราเสียดายอย่างยิ่งที่ดราม่าไปไม่สุดเลยสักทาง ไม่ว่าจะดราม่าครอบครัว เพื่อนร่วมงาน การทำงานกับธุรกิจน้ำมัน หรือกระทั่งการชูว่าพระเอกของเรา (Mark Wahlberg) คือฮีโร่นั้นก็ยังไปไม่ถึง
ตอนดูเทรลเลอร์ เราชอบตอนลูกสาวอ่าน essay และเอากระป๋องโค้กมาจำลองการขุดเจาะน้ำมันให้เห็นภาพนะ มันทำให้คนดูอย่างเราเข้าใจงานที่พวกเขาทำได้ง่ายและก็รู้สึกอบอุ่นกับความเป็นแฟมิลี่ไปด้วย แต่พอฉากดังกล่าวมาอยู่ในหนังตัวเต็ม เราก็เฉย ๆ ละ เพราะซีนนี้ดันเป็นซีนครอบครัวที่ดีที่สุดในหนัง ซึ่งซีนนี้เราก็ดูไปเป็นร้อยรอบแล้วในเทรลเลอร์ หรือเพิ่มเติมก็อาจจะมีซีนที่ พระเอกต้องรอดและเอาชิ้นส่วนไดโนเสาร์กลับบ้านมาให้ลูกแหละ แต่ซีนนั้นกลับเป็นซีนที่…ถ้าคุณกะพริบตาทีเดียว คุณอาจไม่เห็นว่าพระเอกให้ฟอสซิลลูก… จบ.
ส่วนเรื่องราวบนแท่นก่อนเกิดเหตุการณ์ระเบิด คือชอบนะที่เขาพาทัวร์แต่ละแผนกของแท่น ซึ่งเอาจริงก็จำตัวละครไม่ได้หรอกว่าใครทำอะไร เพราะเขาแนะนำแบบบรีฟมาก จำได้ก็แต่ Dylan O’Brien คนงานสุดหล่อคนเดียวนั่นแหละที่มีซีนเยอะหน่อย แต่ที่ทำให้แอบเบื่อในช่วงต้นก็คือ การพาทัวร์เหตุการณ์ก่อนระเบิดของหนังเขามันจริงจังเกินไป จริงจนคนดูทั่วไปที่ไม่ได้เป็นวิศวกร ไม่เก๊ตกับฟิสิกส์ ไม่รู้เรื่องหลักการการทำงานของเครื่องจักรเครื่องกล ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานแท่นหรืองานขุดเจาะน้ำมันเป็นศูนย์อย่างเรานั้น… แอบเบื่อ
ส่วนประเด็นฮีโร่ เรื่องนี้ก็ยังห่างไกลจาก Sully ที่เราเพิ่งดูไปเมื่อต้นเดือน และดูแล้วก็ไม่ค่อยรู้สึกว่า Mark Wahlberg เป็นฮีโร่อะไรเท่าไหร่ อาจเพราะแบ่งซีนฮีโร่ให้ Kurt Russell กับ Dylan O’Brien เขาไปเยอะ (โดยเฉพาะคนหลังเนี่ย เรารู้สึกว่าตัวจริงเขาไม่น่าจะมีบทบาทกับเหตุการณ์มากขนาดนี้… อาจไม่มีตัวตนจริงด้วยซ้ำ… แต่หนังก็สร้างตัวละครตัวนี้ขึ้น เพื่อให้หนังมีดาราวัยรุ่นหล่อ ๆ ที่กำลังฮอตอย่าง Dylan O’Brien มาเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนดูอีกกลุ่มหนึ่ง)
นอกจากนี้ คนงานแต่ละคนก็ดูไม่ได้เห็นแก่ตัวแย่งกันขึ้นเรือชูชีพอันจำกัดแบบเรือไททานิคด้วย เลยกลายเป็นว่าพี่ Mark Wahlberg แทบไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเอาตัวเองให้รอดเพื่อกลับบ้านไปเจอลูกเมีย ช่วยเจ้านายและเพื่อนร่วมงานคนสนิทคนสองคนให้รอดด้วย ก็แค่นั้น สรุปซีนระเบิดผ่านไปอย่างแทบไม่มีเรื่องเล่าอะไร นอกจากขายภาพแท่นน้ำมันระเบิดซึ่งสมจริงอย่างน่ากลัว
โดยสรุป Deepwater Horizon เป็นหนังที่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก เพราะเขาคงอยากเล่าจากเหตุการณ์จริงจริง ๆ นั่นแหละ คำให้การของ Mike Williams ตัวจริงเขาพูดว่ายังไง หนังก็เล่าแค่นั้น ไม่ได้เน้นขยี้ดราม่ารุนแรงหรือดีงามน้ำตาไหลแต่อย่างใด ตัวละครไม่เป็นที่จดจำแม้แต่พระเอกซึ่งควรจะเป็นฮีโร่ของเรื่อง
แต่สิ่งที่เป็นพระเอกของเรื่องจริง ๆ เลยคือ แท่นขุดเจาะน้ำมันใหญ่ยักษ์สมจริงและฉากระเบิดเพลิงไหม้ที่จัดเต็มตูมตามไม่ปรานีใครนี่แหละ ที่เลอค่าแก่การดู IMAX โดยไม่รู้สึกเสียดายตังค์แน่นอน
Deepwater Horizon คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
เข้าฉาย 29 ก.ย. 2016 เป็นต้นไป ในโรงภาพยนตร์ทั่วไป และระบบ IMAX
54 comments