ปกติแล้ว เมื่อมีการนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่นของดิสนีย์มาทำเป็นหนังเวอร์ชั่น Live Action ก็มักจะถูกจับตามองอยู่แล้ว และพอถึงคราวของ Aladdin ฉบับคนแสดง กำกับโดย Guy Ritchie (จาก The Man from U.N.C.L.E. และ Sherlock Holmes) ก็ถูกจับตามองเป็นพิเศษอีก เพราะหนังดิสนีย์แนวนี้เหมือนเป็นการเปลี่ยนแนวของผู้กำกับ Guy Ritchie และหลายคนก็ยังจับตาดู Will Smith (จาก Men in Black) ในบท Genie ยักษ์สีฟ้าในตะเกียงวิเศษ ในเรื่องนี้อีกด้วย
Aladdin (Mena Massoud จากซีรีส์ Tom Clancy’s Jack Ryan) เวอร์ชั่นนี้ เป็นหัวขโมยในตลาดเพื่อปากท้องอย่างเต็มตัว แต่ก็ยังมีพื้นฐานจิตใจดี เข้าคอนเซ็ปต์เพชรในตมที่ตัวร้าย Jafar (Marwan Kenzari จาก What Happened to Monday) ตามหา
Aladdin ได้ตะเกียงวิเศษและพรมวิเศษมาจากถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เค้าได้สิทธิขอพรสามประการจาก Genie (Will Smith) โดยพรข้อแรกที่เค้าต้องการคือ เค้าอยากเป็นเจ้าชาย เพราะเขาหลงรักเจ้าหญิง Jasmine (Naomi Scott จาก Power Rangers) และเชื่อว่าเจ้าหญิงก็ชื่นชอบเค้าด้วยเช่นกัน แต่ทว่ากฎมณเฑียรบาลระบุไว้ชัดเจนว่าเจ้าหญิงต้องแต่งงานกับเจ้าชายเท่านั้น
โดยรวม โครงเรื่องหลักของ Aladdin ยังคงยึดตามแบบฉบับการ์ตูนปี 1992 เป็นส่วนใหญ่ ยังมีเรื่องมิตรภาพ การชิงบัลลังก์ การแต่งงาน ความดีงามจากภายใน อำนาจ เงินทอง และกิเลสของมนุษย์กับพรสามประการอยู่ แต่ก็มีดีเทลหลาย ๆ จุดที่แตกต่างจากต้นฉบับนั้นเหมือนกัน และก็มีเพลงเยอะขึ้น
จากที่ได้ดูหนังทั้งสองเวอร์ชั่นในเวลาไล่เลี่ยกัน เราเองก็พบว่าเราชอบการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่อยู่ในหนังเวอร์ชั่นใหม่นี้ เพราะมันดูสดใหม่ ทันสมัยขึ้น บ้างก็ดูเมคเซนส์ขึ้นในบริบทปัจจุบันหรือสำหรับคนดูที่โตขึ้นมาหน่อย รวมถึงแฝงประเด็นที่เข้มข้นขึ้นกว่าฉบับการ์ตูน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเฟมินิสต์และการเมือง โดยที่เมสเซจเดิม ๆ ที่เคยสอนคนดูในฉบับการ์ตูนก็ยังคงคงไว้อยู่
สิ่งแรกที่ชัดเจนคือ เจ้าหญิง Jasmine ในเวอร์ชั่นนี้มีบทบาทมากขึ้น มีปากมีเสียงมากขึ้น และสตรองมากขึ้น ประเด็นของเธอจะไม่ใช่แค่เรื่องเลือกคู่ครองเท่านั้น แต่เธอยังมีความเชื่อมั่นว่าผู้หญิงอย่างเธอก็พร้อมจะปกครองบ้านเมืองหรือเป็นสุลต่านต่อจากเสด็จพ่อ (Navid Negahban จาก 12 Strong) ได้ด้วย ซึ่ง Naomi Scott ก็ถ่ายทอดมาได้ดีทั้งการร้องและการเล่น เพลง A Whole New World กับเพลง Speechless นี่ทำเอาขนลุกเลย
ถึงแม้จะมีความรู้สึกว่าสไตล์การทำหนังของ Guy Ritchie จะดูหลุด ๆ จากคอนเซ็ปต์ของดิสนีย์ไปบ้าง และมีบ้างที่บางจุดทำเราสับสนระหว่างอินเดียกับอาหรับตะวันออกกลาง (ดูจบแล้ว ต้องมานั่งทำความเข้าใจกับตัวเองใหม่ว่าตกลงเรื่องราวมันควรอยู่ประเทศอะไร) แต่โดยรวมเราก็รู้สึกโอเคกับการผสมผสานดิสนีย์สไตล์กับริชชี่สไตล์ที่เค้าเสกออกมาใน Aladdin นี้
แน่นอนว่า Aladdin ที่เค้าทำ มันอาจจะไม่ใช่หนังที่เพอร์เฟ็กต์หรือยอดเยี่ยมขั้นเทพอะไร แต่ในแง่ของความบันเทิง หรือการส่งมอบความสุขให้กับคนดู เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ อย่างเราเอง เราดูเราก็ว่าเพลินดี สนุกดี ตลกดี ดูแล้วกราฟความสุขขึ้นปรู๊ดปร๊าด ในพาร์ทที่ร้องเล่นเต้นระบำก็ทำได้สนุกดี มีความเล่นใหญ่ และน่าจะถูกจริตคนดูหลาย ๆ กลุ่ม
ส่วน Will Smith นี่เป็นสีสันหลักและเป็นเสน่ห์ของหนังเลย พอเค้าออกจากตะเกียงมาปุ๊บ หนังมีชีวิตชีวาขึ้นทันที พลังการแสดงพุ่งมาก เรียกว่าเป็นตัวขโมยซีนก็ไม่ผิด นอกจากจะเป็นคู่หูกับพระเอกแล้ว ยังเพิ่มความเป็นมนุษย์ใส่ลงไปให้ด้วย นั่นก็คือให้มีพาร์ทจีบกับ Dalia (Nasim Pedrad จาก Cooties) นางสนองพระโอษฐ์ของนางเอกด้วย จนบางทีนี่ก็คิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ควรชื่อเรื่อง Aladdin แต่ควรชื่อ Genie แทนให้มันจบ ๆ ไป
ส่วนหนึ่งคือพระเอกดร็อปมากเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในซีน ทั้งที่เค้าควรจะเป็นศูนย์กลางของหนัง และติดอีกนิดนึงคือ แคสต์ออกมา หน้าตาของพระเอกดูห่างไกลจาก Aladdin ในอุดมคติของเราไปหน่อย หรือไม่ก็ต้องโทษฉบับการ์ตูนที่ตอนนั้นวาดพระเอกไว้ซะหล่อราวกับเทพบุตรเกินไป
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
47 comments
Comments are closed.