Let the past die. Kill it, if you have to. That’s the only way to become what you are meant to be.
ถึงแม้เราจะดู Star Wars มาแล้วทุกภาค แต่ก็ไม่ใช่แฟนของหนังเขาสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามคือ แทบไม่อินและไม่ค่อยเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างเสียด้วยซ้ำ แต่เราก็ยอมรับว่า Star Wars: The Last Jedi เป็นภาคที่สนุกที่สุดสำหรับเรา (และยาวที่สุดด้วย ยาวถึงสองชั่วโมงครึ่ง) มีฉากบู๊เยอะขึ้น และมีมุกตลกเยอะขึ้น
ด้วยความที่ไม่อินกับสตอรี่หรือตัวละครต่าง ๆ มากมายอะไร จึงมีบ้างที่หาวบ้างเป็นพัก ๆ (แหม ก็หนังยาวขนาดนั้น ตัวละครก็ยั้วเยี้ยซะขนาดนี้) แต่ดีมาก ๆ ที่ภาคนี้ฉากแอ็คชั่นจัดหนักจัดเต็ม ทั้งสงครามหรือการต่อสู้เล็กใหญ่มาเต็มจุใจ ดูโรง IMAX ก็อภิมหาแห่งความฟินไปอีก เพราะหนังถ่ายด้วยกล้อง IMAX ดูในจอ IMAX จึงใหญ่เต็มเฟรม ตื่นตาตื่นใจ งานภาพสามมิติก็อลังการสมฐานะ
เนื้อเรื่องในภาคนี้หลัก ๆ คือ ส่วน Rey (Daisy Ridley) ไปอ้อนวอนเรียนวิชาเจไดกับ Master Luke Skywalker (Mark Hamill) และขอให้เขาไปช่วยกองกำลังกบฏ นำโดย Gen. Leia (Carrie Fisher) ซึ่งกำลังถูกกองทัพปฐมภาคีของ Gen. Hux (Domhnall Gleeson) ตามไล่ล่าอยู่ นอกจากนี้ Rey ยังค้นพบว่าเธอกับ Kylo Ren หรือ Ben Solo (Adam Driver) เชื่อมจิตหรือโทรจิตหากันได้ข้ามจักรวาลอีกด้วย และฝ่าย Poe (Oscar Isaac) นักบินเจ้าของดรอยด์ BB-8 ต้องร่วมมือกับ Finn (John Boyega) และ Rose (Kelly Marie Tran) อีกด้วย
สิ่งที่เราชอบในหนังภาคนี้ของ Star Wars คือ เดิมเรื่องราวและตัวละคร รวมถึงหนัง Star Wars ภาคแรกของ George Lucas ซึ่งถือกำเนิดมาหลายสิบปีแสงแล้ว มีแต่ตัวละครชายแทบทั้งเรื่อง ตัวละครหญิงเด่น ๆ ที่จำได้ก็เห็นจะมีแต่เจ้าหญิง Leia (Carrie Fisher) แต่หลัง ๆ มานี้ George Lucas ให้บทบาทสำคัญ ๆ หลัก ๆ กับตัวละครหญิงมากขึ้น เช่น Rey, Gen. Leia, และ Vice Admiral Amilyn Holdo (Laura Dern) ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ก็เยอะขึ้น เช่น ตัวละคร Finn และ Rose ที่เป็นชายผิวสีและหญิงเอเชียตามลำดับ
Carrie Fisher ถ่ายหนังภาคนี้เสร็จสิ้นก่อนจะเสียชีวิต และในหนังภาคนี้ เธอก็มีซีนออกค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษในฐานะผู้นำกบฏ หญิงผู้สูญเสียชายคนรักและลูกชายไปพร้อม ๆ กัน การแสดงครั้งสุดท้ายบนจอยักษ์ของเธอจะเป็นที่จดจำตราตรึงใจของแฟนหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน
Daisy Ridley เจิดจรัสกว่าตอนที่แล้วอย่างบอกไม่ถูก สมกับเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี แต่คนที่เราว่าโดดเด่นเป็นพิเศษที่สุด เรายกให้ Adam Driver ผู้สามารถถ่ายทอดคาแรกเตอร์ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอันซับซ้อนยิ่งยวดของ Kylo Ren ได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ แววตาของเขาทำให้เราอินและแอบเห็นใจตัวร้ายตัวนี้… เขาคือตัวร้ายที่มีมิติที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่เราได้เจอในหนัง sci-fi มา… และถ้าไม่ใช่ Adam Driver เราก็ไม่รู้ว่า Kylo Ren จะออกมาดีขนาดนี้ได้ (แต่พระเอกของเรื่อง เรายกให้ BB-8 นะ ความชอบส่วนตัว 555)
บทเรียนในหนัง Star Wars: The Last Jedi มีมากมายราวกับนี่คือคัมภีร์ของลัทธินิกายหนึ่ง ๆ ซึ่งไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะบรรลุมันได้ทุกข้อ สิ่งที่เราสนใจคือตัวละครหลักหลายตัว โดยเฉพาะ Kylo Ren มีความพยายามจะหลีกเลี่ยงหรือหลงลืมอดีต เพื่อจะสร้างตัวตนใหม่หรือสร้างอนาคตใหม่ของเขาเอง (แต่ก็นะ ใครจะไปทิ้งรากเหง้าของตนเองได้หมดคราบซะได้) หรือ Luke Skywalker เอง ที่เหมือนจะแตกฉานกร้านโลก แต่ก็ยังมีความเกรงกลัวอนาคต ทั้งที่มันยังไม่เกิดขึ้นและอาจเปลี่ยนแปลงได้ และความกลัวนั้นเองที่เป็นตัวส่งผลทำให้เกิดปัญหาที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นตามมาในที่สุดเอง
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
98 comments
Comments are closed.