ช่วงนี้หนังรางวัลจ่อคิวเข้าโรงกันล้นหลาม และวันนี้ก็เป็นคิวของ Spotlight ที่จะมาเฉิดฉายให้พวกเราได้พิสูจน์กันว่า “หนังตัวเต็งออสการ์” ที่เขาร่ำลือนั้น จะแน่จริงสักแค่ไหน
“What took you so long?”
เรื่องย่อ Spotlight
Spotlight สร้างจากเรื่องจริงช่วงปี 2001-2002 ของทีมนักข่าวมืออาชีพแห่งสนพ. The Boston Globe
เหตุการณ์เริ่มจากบก.คนใหม่ Marty Baron (Liev Schreiber) ซึ่งเป็นชาวยิวและไม่ได้เป็นแท้แต่คนบอสตันโดยกำเนิด มอบหมายให้ทีม Spotlight ขุดคุ้ยข่าวบาทหลวงล่วงละเมิดทางเพศเด็กในบอสตัน
ทีม Spotlight นำทีมโดย Walter ‘Robby’ Robinson (Michael Keaton จาก Birdman) พร้อมกับลูกทีม Mike Rezendes (Mark Ruffalo จาก The Avengers), Sacha Pfeiffer (Rachel McAdams จาก About Time), และ Matt Carroll (Brian d’Arcy James) ร่วมด้วย Ben Bradlee, Jr. (John Slattery)
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Spotlight
ต้องบอกเลยว่า ด้วยวัตถุดิบของ Spotlight นั้น มันดีในตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตีแผ่ความเน่าเฟะของสถาบันศาสนา การทำงานของสื่อมวลชน การล่วงละเมิดทางเพศเยาวชน เพศที่สาม ปัญหาครอบครัว ความเลื่อมใสศรัทธาของคนในสังคม ฯลฯ เรียกได้ว่าเนื้อหาครบเครื่องครอบคลุมปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมเป็นเวลายาวนาน
ถึงแม้หนังจะดูเต็มไปด้วยประเด็นหนักๆ มากมาย แต่ ณ ขณะที่ดู เราไม่รู้สึกเครียดหรือเบื่อเลยสักนิด ตรงกันข้าม เรารู้สึกว่าเวลามันผ่านไปไวมาก ดูสนุก เข้มข้นครบรส ชวนติดตาม มีมุกตลกสอดแทรกเนียนๆ ตลอด ที่สำคัญดูไม่ยากเลย รับประกันว่านี่เป็นหนังสำหรับคนทุกคน ทุกวัย ทุกศาสนา และทุกทุกสังคม!
เพราะศาสนาเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจจะเกี่ยวข้องก็ตาม เพราะเราแทบทุกคนต่างมีศาสนาเป็นของเราเองโดยกำเนิด ทั้งที่เราไม่ได้เลือก (อย่างที่รู้กัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองกำหนดให้ทั้งนั้น)
พอโตมาก็ถูกผู้ใหญ่ที่เคารพลากไปร่วมนี่นั่นโน่นของศาสนานั้นๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เป็นกิจวัตร เป็นความเคยชิน หรืออาจกลายเป็น “ความศรัทธา” ไปเลยก็ได้สำหรับบางคนที่อินกับมันมากๆ ซึ่งก็ว่าไม่ได้ เพราะคนดั้งเดิมเขาวางศาสนาไว้สูงมากจริงๆ
หนังเขาเล่าเรื่องกระชับฉับไว และเรียบง่าย แต่ผลลัพธ์นั้นอิมแพคต่อความคิดความรู้สึกคนดูได้มหาศาล มันมีหลายประโยคที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดมาเพียงสั้นๆ และเหมือนประโยคนั้นจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้ทำไม มันกลับติดตรึง สะท้อนอยู่ในจิตใจเราอย่างแน่นเหนียว คือฟังแล้วรู้สึกโดน ว่างั้นเหอะ
เช่น ประโยคที่ว่า “ผมไม่ได้เข้าโบสถ์นานแล้ว แต่ผมยังเรียกตัวเองว่าเป็นคาทอลิก” มันเป็นอะไรที่… เออจริง เราก็เป็น… จริงๆ เราก็ไม่ได้อะไรกับการทำบุญตักบาตร เข้าวัดเข้าวา หรืออะไรเกี่ยวกับพระกับเจ้านานแล้ว แต่เราก็ยังเรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ เพราะใบแจ้งเกิดยังระบุว่าเรานับถือพุทธ
อย่างไรก็ดี หนังเน้นเล่าในมุมมองการทำงานของคนคุ้ยข่าวหรือฝั่ง journalists – คือไม่ได้เล่าในมุมของคนในศาสนาเท่าไหร่ ดังนั้น เราจึงจะไม่ได้รู้หรอกว่า ทำไมบาทหลวงต้องกระทำกิจอะไรเช่นนั้น มันอาจจะเป็นสิ่งที่กระทำต่อเนื่องกันมาจนเหมือนจะเป็นธรรมเนียมธรรมดา มันอาจจะเป็นความเลวทรามต่ำช้าส่วนบุคคล หรือมันอาจจะเป็นลัทธิมืดๆ ที่พวกเขาไม่มีวันยอมถูกเปิดโปง
แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะอย่างไร เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่า สิ่งที่บาทหลวง…ผู้ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของปวงชน… กระทำนั้น มันเหมือนเอาความศรัทธาของคนคนนึงมาเป็นเครื่องมือในการทำลายชีวิตของเขาให้ไม่เหมือนเดิมตลอดกาล มันไม่ถูกต้อง! จิตใจทำด้วยอะไร! /me ขอเขวี้ยงพระคัมภีร์ใส่ดั้งแม่ง
คือดูแล้วอินมากจริงนะ นี่เราก็ดูไปตบเข่าไป ดูไปบีบมือไป อินสุดๆ พีคเว่อร์ ดูไปนี่หัวได้คิดตามไปตลอดไม่รู้จบ แม้แต่แมสเซจยิบย่อยที่สอดแทรกเข้ามาระหว่างการสืบหาคดีบาทหลวงฉาวของทีม Spotlight ก็พาสะเทือนใจและชวนให้ฉุกคิด เช่น ภาพของเด็กน้อยอินโนเซนต์กำลังลัลล้าอยู่ในหมู่บ้าน หรือคาธอลิกโลกสวยที่เข้าโบสถ์ไปฟังบาทหลวงบ้าราคะผู้นั้นอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสเปี่ยมศรัทธาทุกวันอาทิตย์ ฯลฯ
เหนือสิ่งอื่นใด สารอันเข้มข้นทั้งหลายจะมาถึงคนดูได้ไม่ 100% อย่างนี้เลย ถ้าไม่ได้การแสดงอันทรงพลังของทีมนักแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น Mark Ruffalo, Rachel McAdams, หรือ Michael Keaton ทีมนี้เขาแข็งมาก เล่นดีทุกคน แม้แต่ตัวประกอบเล็กใหญ่ก็ยังเล่นดี ดูเป็นธรรมชาติหมดเลย ไร้ที่ติ โดยรวมคือ สตรองมากกกกก
สำหรับเรา นักแสดงนำที่อยู่ในทีม Spotlight ทุกคนเล่นดีตรงที่ เขาทำให้คนดูเชื่อได้สนิทใจเลยว่า เขากำลังเป็นนักข่าวที่กำลังอินกับงานมากจริงๆ – มากกกกก…จนถึงกับทำให้คนดูอย่างเราอินตามกับเรื่องราวไปด้วยทุกวินาที แต่ละคนส่งอารมณ์มาถึงคนดูได้โดยที่ไม่ต้องเล่นใหญ่แต่ใดใด โปรเฟสชันนัลมากๆ
ในหนัง Spotlight ทั้งเรื่องเราแทบจะไม่เห็นการเข้ามามีบทบาทของคนในครอบครัวหรือคนในเครื่องแบบเลย โฟกัสแต่การทำงานของทีม Spotlight กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นล้วนๆ
หนังมันทำให้เราได้เห็นการทำงานหนักของนักข่าวในมุมที่เราอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อน แถมช่วงเวลาในเรื่องคือปี 2001-2002 ซึ่งเป็นช่วงที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าเท่าปัจจุบัน แม้แต่อินเทอร์เน็ตเองก็เพิ่งบูม การทำงานกับฐานข้อมูลต่างๆ ของพวกเขานั้นจึงไม่ง่ายเลย
จนเราก็ได้แต่สงสัยว่า สังคมเราจะมีนักข่าวคนจริงแบบนี้บ้างมั้ยนะ นักข่าวที่มีจรรยาบรรณ ขยันตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง ทุ่มเททำงานหนัก เห็นเรื่องส่วนรวมสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพื่อต่อสู้เพื่อความถูกต้องยุติธรรม พยายามเปิดโปงคนร้าย และปกป้องคนบริสุทธิ์ในสังคม โดยไม่ได้หวังแต่เงินทองหรือเรตติ้งข่าว
ทีม Spotlight เป็นสื่อที่ทุกสังคมควรมี เพราะสื่อมีหน้าที่สอดส่อง เป็นหูเป็นตา เป็นปากเป็นเสียง และเป็นแสงสว่างให้นัยน์ตาของประชาชนทุกคน คนโชคร้ายที่ตกเป็นเหยื่อจะได้รับความยุติธรรม คนโชคดีที่ไม่เคยรู้ความจริงก็ได้ตาสว่าง จนไปถึงคนในรุ่นต่อๆ ไปจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเจอกับเรื่องแบบนี้อย่างที่คนรุ่นก่อนๆ ได้เจอ
หนัง Spotlight เอง ก็เป็นหนังที่คนไทยควรดู มันไม่ใช่แค่เป็นหนัง based on a true story ที่ดูสนุก หากแต่มันดีมาก ดีมากจริงๆ ข้องใจนัก ทำหนังยังไงถึงออกมาดีได้ขนาดนี้ทั้งตัวบทเนื้อหา โปรดักชั่น และการแสดง ดีจนเราคิดว่า… เฮ้ย! คนทำหนังไทยจะทำหนังดีๆ แบบนี้กับเขาได้บ้างมั้ย หรือถ้าทำได้จริง จะมีโอกาสได้ออกฉายแบบนี้บ้างมั้ย
หรือพอมีคนเขาบอกว่า “ทำไม่ได้” หรือ “ไม่ควรทำ” เราเลยลงเอยที่การ “อยู่เฉยๆ” แค่นั้นกระนั้นหรือ
Spotlight เข้าฉายที่ไทย 14 ม.ค. 2016 นี้ คะแนนตามความชอบส่วนตัว 9.5/10 และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า หนังเรื่องนี้ รวมถึงนักแสดงนำทั้งหลาย ไปไกลถึงรางวัลใหญ่เวทีออสการ์แน่นอน *ปรบมือแรง*
หน้าที่ก็คือหน้าที่ ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง มันคนละส่วนกัน
71 comments