ถึงเวลาที่สาวกของ Lucasfilm จะได้กลับไปสู่ห้วงจักรวาลอันไกลโพ้นอีกครั้ง โดยสงครามแห่งดวงดาวครั้งนี้รังสรรค์โดย Gareth Edwards ผู้กำกับ Godzilla (2014)
Rogue One: A Star Wars Story ไม่เชิง Star Wars ภาค 8 ซะทีเดียว เพราะเรื่องราวไม่ได้ต่อจาก Star Wars (VII) The Force Awakens (2015) แต่เรื่องราวในหนังภาคนี้เกิดขึ้นระหว่าง Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith (2005) กับ Star Wars: Episode IV – A New Hope (1977)
ดังนั้นใน Rogue One จะเป็นเรื่องราวที่จะทำให้แฟน ๆ รู้ว่าในซีนแรกของ A New Hope นั้น Princess Leia ได้ไอ้ข้อมูลนั่นอย่างไร ก่อนที่ Darth Vader จะบุกตามมาช่วงชิงถึงยานนาง
Star Wars ภาค 1-7 เรียงตามไทม์ไลน์
- Star Wars: Episode I – The Phantom Menace (1999)
- Star Wars: Episode II – Attack of the Clones (2002)
- Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith (2005)
- Star Wars: Episode IV – A New Hope (1977)
- Star Wars: Episode V – The Empire Strikes Back (1980)
- Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi (1983)
- Star Wars (VII) The Force Awakens (2015)
เรื่องย่อ Rogue One: A Star Wars Story
Jyn Erso (Felicity Jones จาก The Theory of Everything) ถูกฝ่ายกบฏลักพาตัวมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเข้าถึงพ่อเลี้ยงของเธอ Saw Gerrera (Forest Whitaker) หัวหน้ากลุ่มหัวรุนแรง ที่ดาว Jedha เพื่อเข้าถึงพ่อบังเกิดเกล้าของเธอ Galen Erso (Mads Mikkelsen) นักวิทยาศาสตร์มือหนึ่งแห่งจักรวรรดิ (The Empire) ผู้สร้าง “Death Star” อาวุธทำลายล้างที่ร้ายแรงที่สุดในจักรวาล
ผู้กอง Cassian Andor (Diego Luna จาก Elysium) พร้อมดรอยด์คู่หู K-2SO (Alan Tudyk) ได้รับมอบหมายให้พา Jyn Erso ไปหา Saw Gerrera และ Galen Erso ระหว่างทางพวกเขาได้เพื่อนร่วมทีมเพิ่มคือ Chirrut Îmwe (Donnie Yen จาก Ip Man), Baze Malbus (Wen Jiang), และ นักบินผู้แปรพักตร์ Bodhi Rook (Riz Ahmed)
“I’m with the Force and the Force is with me.”
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Rogue One: A Star Wars Story
ปัญหาใหญ่ของ Rogue One: A Star Wars Story คือการดำเนินเรื่องหรือการเล่าเรื่องราวที่ค่อนข้างน่าเบื่อโดยเฉพาะช่วงแรก สิ่งที่พอให้หายเบื่อได้ก็จะเป็นความตลกน่ารักของเจ้าดรอยด์ K-2SO ของพระเอก (ดูแล้วก็คิดถึงเจ้า R2-D2, C-3PO, และ BB-8) แต่พอมาถึงดาวเจดาห์ปุ๊บ เริ่มมีฉากต่อสู้ เรื่องราวก็เริ่มสนุกขึ้นเรื่อย ๆ
ก็อย่างที่ว่าจุดขายสำคัญของหนัง Star Wars คือฉากแอ็คชั่นและฉากสงคราม ซึ่งภาคนี้เขากำกับได้ดี ตื่นตาตื่นใจ และอลังการงานสร้างจนลืมความเบื่อในช่วงแรกไปเลย ขนาดเราไม่ใช่สาวก Star Wars ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องมาก ยังโคตรชอบฉากแอ็คชั่นสงครามเขาเลย
ส่วนคนที่เป็นแฟนหนังอยู่แล้วต้องฟินมากไม่ต้องสืบ เพราะตัวละครบางตัวจากภาคเก่า ๆ ก็มาเต็ม รวมถึง Darth Vader และดาบเลเซอร์ของเขา (James Earl Jones) ที่มาไม่มากแต่เท่มากกกก~
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นสงครามใน Rogue One ได้ใจเราสุด ๆ ทั้งที่ตอนดู DVD ภาค 1-6 ที่บ้านแล้วยังไม่อินเลย ก็อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับตอนดู The Force Awakens นั่นคือ ประสบการณ์การดูในจอยักษ์ IMAX 3D
ทั้ง The Force Awakens และ Rogue One เราได้ดูในโรงภาพยนตร์จอใหญ่ยักษ์ IMAX 3D ซาวนด์เสียงกระหึ่มตู้มต้าม แล้วระดับความคมชัดของภาพคือเวรี่ HD (ชัดขนาดเห็น CG recreation ที่แต่งหน้า Princess Leia ให้ย้อนวัยไปเกือบ 40 ปียังสวยสะพรึง) สิ่งแวดล้อมเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราอะดรีนาลีนพลุ่งพล่านและดูหนังสนุกขึ้นอย่างมาก ต้องไปลองดูกันเองถึงจะเข้าใจ หนังระดับนี้คู่ควรกับการดู IMAX 3D จริงจัง รับรองว่าฟินกว่าดูโรงทั่วไปหลายเลย
ตามหลักในเรื่องนี้ นางเอกผู้เข้าชิงออสการ์ Felicity Jones ต้องเป็นตัวหลัก แต่เอาเข้าจริง หนังค่อนข้างกระจายบทให้ตัวละครอื่นหลายคน โดยเฉพาะ Donnie Yen ที่เก่งและเท่ระเบิดระเบ้อ และช่วยดันนักแสดงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนักอย่าง Riz Ahmed ให้โดดเด่นและมีบทบาทสำคัญไม่น้อยกว่าพระเอกเลย หรือแม้แต่ผ้าคลุมของผบ.ตัวร้าย Krennic (Ben Mendelsohn) ก็พริ้วสะบัดถูกจริตเราจริง ๆ (แต่คนที่ขโมยซีนที่สุดสำหรับเรายังคงเป็นดรอยด์ K-2SO อยู่ดีนะ)
ตอนดูในเทรลเลอร์ เรามีความรู้สึกว่าบท Jyn Erso ของ Felicity Jones คล้าย Katniss Everdeen ใน The Hunger Games แต่พอดูจริง คาแรกเตอร์และความสำคัญแตกต่างกันพอตัว กล่าวคือ Jyn Erso เป็นแค่หนึ่งในฟันเฟืองของกบฏตัวเล็ก ๆ คนนึง ถึงแม้แก่นของเรื่องคือ “Rebellions are built on hope!” แต่นางก็ไม่ได้เป็น hope คนเดียวหรือเป็นความหวังสูงสุดอย่าง Katniss Everdeen ซึ่งเป็นคนสำคัญของสงครามเลย ห้ามเจ็บห้ามป่วยห้ามตาย เพราะนางคือความหวังของชาติ
ใน Rogue One ทุกคนคือ hope ทุกการกระทำคือ hope ทุกการตัดสินใจของทุกคนคือ hope … ซึ่งนำไปสู่ Star Wars: Episode IV – A New Hope โดยสมบูรณ์แบบ (แหม่ ว่าแล้วก็อยากย้อนกลับไปดู ภาค 4-6 อีกสักรอบ)
“Rebellions are built on hope!”
โดยสรุป Rogue One: A Star Wars Story อาจจะเนือย ๆ ในช่วงแรก แต่พอเริ่มมีฉากต่อสู้แล้วเครื่องก็เริ่มติด ฉากสงครามในองก์สุดท้ายระทึกมาก พีคมาก ขนาดไม่ใช่สาวกยังฟิน ยิ่งได้ดูในระบบ IMAX 3D ก็ยิ่งฟิน
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10
Rogue One: A Star Wars Story เข้าฉาย 15 ธ.ค. 2016 ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบทั่วประเทศ
131 comments
Comments are closed.