หลานม่า เล่าเรื่อง based on our true stories ที่ธรรมดา ๆ ง่าย ๆ แต่ก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ที่คนเรามักละเลยหรือหลงลืม นั่นก็คือ สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ครอบครัว”
หลานม่า จึงเป็นหนังที่เข้าถึงคนดูทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีน ตาม DNA ดั้งเดิมของค่าย GDH และถือว่า ทำถึง สามารถช่วยคืนฟอร์มหรือกู้หน้าให้ GDH ได้ ถือเป็นหนังไทยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปี
ถึงแม้ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ (ผู้กำกับหนังหน้าใหม่ เจ้าของผลงานซีรีส์ดังอย่าง Project S The Series ตอน SOS Skate ซึม ซ่าส์ และฉลาดเกมส์โกง Bad Genius: The Series) จะไม่ได้เล่าอะไรแปลกใหม่ แต่เสน่ห์หรือจุดแข็งของหนังก็คือความเรียบง่ายและเรื่องธรรมดา ๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ เราชอบการเล่าเรื่องผ่านภาพและไดอะล็อกที่กลมกล่อมและเป็นธรรมชาติ ดูแล้วไม่รู้สึกฝืน ยัดเยียด หรือพยายามจนน่ารำคาญเหมือนหนังบางเรื่องที่พยายาม romanticizing วิถีชีวิตของเรา แต่ทำให้เรารู้สึกใส่ใจหรือมองเห็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ (ที่ตอนแรกเราอาจไม่สนใจหรือมองไม่เห็น) ของคนในครอบครัวเรามากขึ้น
หนังฉายภาพสะท้อนเรื่องราว วิถีชีวิต วัฒนธรรม และผู้คนที่เราคุ้นเคย เราเชื่อว่า เราทุกคนอาจจะ “เป็น” หรืออาจจะ “มี” คนในครอบครัวที่ “เป็น” เหมือนตัวละครต่าง ๆ ในหนัง…
เราอาจจะเป็นลูกหลานของใครสักคน เหมือนตัวละคร เอ็ม (บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) หรือ มุ่ย (ตู-ต้นตะวัน ตันติเวชกุล) ที่ทำดีกับญาติผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโส เพื่อหว่านพืชหวังผล หวังเป็นที่หนึ่ง หวังได้มรดกมากกว่าลูกหลานคนอื่น
เราอาจจะมีใครสักคนในครอบครัว (ซึ่งมักเป็นพี่ชายคนโตหรือลูกชายคนเดียว) ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า มีชีวิตที่ดีกว่า หรือได้อะไรมากกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ อย่างเคี้ยง (ดู๋-สัญญา คุณากร)
เราอาจจะรู้จักใครสักคนที่เป็นลูกสาวที่มักได้อะไรน้อยกว่า ได้ทีหลัง หรือเสียสละเพื่อพี่น้องผู้ชายก่อนเสมอ อย่าง สิ้ว (เจีย-สฤญรัตน์ โทมัส)
เราอาจจะเคยเห็นลูกชายคนเล็กที่ไม่เอาอ่าวและยังคงเป็นภาระพ่อแม่จนถึงวัยกลางคน อย่าง โส่ย (เผือก-พงศธร จงวิลาส)
และเราอาจจะมีญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว อย่างอาม่า (อุษา เสมคำ) ที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวอย่างเงียบเหงา โดดเดี่ยว โดยตัวละครอาม่าคือตัวละครที่เข้าใจลูกหลานอย่างดีว่า ทุกคนมีภาระหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบ หรืออาจต้องเอาตัวรอด สู้ชีวิตของใครของมัน อาม่าจึงพยายามพึ่งพาหรือเรียกร้องเวลาจากลูกหลานให้น้อยที่สุด และเฝ้ารอวันรวมญาติหรือวันที่ลูกหลานจะแวะเวียนมาเยี่ยม ที่สำคัญ อาม่าคือคนที่คิดถึงลูกหลานก่อนตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะแสดงออกออกมาหรือไม่ก็ตาม
เราชอบทีมแคสต์ที่แข็งแกร่ง ทุกคนเล่นดีมาก รวมถึงบิวกิ้นที่รับบทนำ ตัวละครมีมิติซับซ้อน แต่บิวกิ้นถ่ายทอดได้พอดี ลงตัว ไม่มากไป ไม่น้อยไป และแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนเป็นหลาน ignorant ไม่ใส่ใจคนรอบข้าง, จนเป็นหลานจอมทะเล้นที่พยายามจะเอาชนะใจอาม่าเพราะความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้, จนไปถึงเติบโตไปเป็นหลานชายเต็มตัวที่ห่วงใยและทำทุกอย่างเพื่ออาม่าได้จากใจจริง ทำให้เส้นทางของตัวละคร ที่เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จ มันมีมิติและได้ใจคนดู
เราชอบพอยต์ที่แต่ละคน โดยเฉพาะแต่ละเจนเนอเรชั่น ล้วนให้ความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ แตกต่างกัน เช่น มุมมองที่คนรุ่นใหม่อย่างบิวกิ้น vs. คนแก่อย่างรุ่นอาม่า มีต่อฮวงซุ้ย หรือ มุมมองของคนรุ่นพ่อแม่ vs. คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่มีต่อเรื่องการโกหกขาวหรือการปิดบังอาการป่วยของญาติผู้ใหญ่ในบ้าน (อันหลังนี้อาจเหมือนหนังเรื่อง Farewell นิดนึง) ซึ่งมันก็ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่อยู่ที่เราจะเลือกให้คุณค่าหรือความสำคัญกับอันไหนมากกว่ากัน
ถึงแม้หนังจะเน้นที่สถาบันครอบครัวเป็นหลัก แต่หนังก็ไม่ลืมที่จะแตะสเกลสังคม อย่างเช่น ระบบโรงพยาบาลรัฐ หรือบ้านพักคนชรา ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ล้วนมักถูกมองในแง่ลบในสังคมไทย หนังไม่ได้ลงลึกถึงประเด็นดังกล่าวนักเพราะมิเช่นนั้นมันอาจกลบประเด็นหลักของหนังได้
แต่หนังก็แสดงให้เห็นอยู่ว่า มันคือสองสิ่งที่ควรเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่คนไทย โดยเฉพาะผู้สูงอายุในสังคม ควรได้รับในมาตรฐานที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ เช่น ถ้าเราพัฒนาบ้านพักคนชราให้ดูดีมากขึ้น เราจะไม่ไม่มีใครรู้สึกผิด หรือมองว่าการส่งผู้สูงอายุไปอยู่บ้านพักคนชราคือความอกตัญญูจนตัวเองต้องฝืนแบกในสิ่งที่ตัวเอง ไม่ช้าก็เร็ว อาจแบกไม่ไหว และเราก็เชื่อว่า ไม่มีผู้ใหญ่ที่ดีคนไหนอยากเห็นลูกหลานต้องลำบากมากขึ้นเพราะตัวเองหรอก แต่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรานี่สิ ทนเห็นลูกหลานของประเทศลำบากในขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสุขสบายลงคอได้อย่างไร