“It doesn’t matter if you do 10 stupid things so long as you do one smart one,”
ถึงแม้จะเกิดไม่ทันยุค Elvis Aaron Presley (1935 – 1977) ราชาร็อกแอนด์โรลที่โด่งดังมากในยุคนั้น แต่เราเชื่อว่าคนรุ่นเราแทบทุกคนก็ยังรู้จักนักร้องดังในตำนานคนนี้อยู่ดี เพราะสไตล์และงานเพลงของเขายังคงมีอิทธิพลอย่างยิ่งกับดนตรีและป๊อปคัลเจอร์ในยุคหลัง ๆ จนถึงปัจจุบัน
ในตอนนั้น Elvis (Austin Butler จาก Once Upon a Time… In Hollywood) เป็นที่รักในกลุ่มคนจำนวนมากก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านอย่างหนัก ทั้งในเรื่องท่าเต้น การแต่งหน้า การแต่งตัว และเนื้อเพลงกับแนวดนตรี ร็อกแอนด์โรล ที่ผสมผสานดนตรีของคนผิวขาวกับผิวดำเข้าด้วยกัน เพราะสมัยนั้นเขายังมีการแบ่งแยกสีผิวอย่างจริงจังอยู่
หนัง Elvis ทำให้เรานึกถึง Bohemian Rhapsody ตรงที่เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องราวของนักร้อง/นักดนตรีในตำนาน และค่อนข้างยาว (อย่าง Elvis นี้ ยาวถึง 2 ชั่วโมง 39 นาที) ตัวหนังทั้งคู่อาจจะไม่ได้เข้าใกล้คำว่าเพอร์เฟ็กต์ แต่โดดเด่นด้วยการแสดงและดึงดูดด้วยสตอรี่ของตัวบุคคลเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าให้เปรียบเทียบ เราคิดว่า Bohemian Rhapsody ทรงพลังกว่า และเข้มข้นกว่าในประเด็นสังคม
หนัง Elvis ของ Baz Luhrmann (ผู้กำกับ The Great Gatsby และ Romeo + Juliet) เน้นเล่าความสัมพันธ์ของนักร้องกับผู้จัดการ เล่าเรื่องจากมุมมองของผู้พัน Tom Parker (นักแสดงออสการ์ Tom Hanks) ผู้จัดการของ Elvis เป็นหลัก ซึ่งเขาไม่ได้แคร์คนผิวสี การเมือง หรือชีวิตความเป็นอยู่ของ Elvis นัก เขาสนใจแต่ชื่อเสียง เงินทอง และตัวเขาเอง เช่น เขาพร้อมเท Hank Snow (David Wenham จาก The Lord of the Rings) และ Jimmie Rodgers Snow (Kodi Smit-McPhee จาก The Power of the Dog) สองพ่อลูกนักร้องคันทรีที่เขาดูแลอยู่อย่างไม่ลังเล
สุดท้ายหนังจึงไม่ได้ลงลึกประเด็นสังคมอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้พาคนดูไปสำรวจจิตใจ Elvis อย่างลึกซึ้ง และพาเราไปรู้จัก Elvis เพียงผิวเผิน เช่น เรื่องครอบครัว แม่ (Helen Thomson) พ่อ (Richard Roxburgh) และภรรยาที่อายุห่างกันสิบปีอย่าง Priscilla (Olivia DeJonge จาก The Visit) แล้วหนังเล่าเส้นทางชีวิต 20 ปีของซุป’ตาร์ที่มีขึ้นมีลงค่อนข้างฉาบฉวย เร็ว แป๊บ ๆ เปลี่ยนช่วง เปลี่ยนปี เปลี่ยนสถานการณ์
แต่สิ่งที่เราชอบคือ การแสดงของนักแสดงทุกคน เช่น Austin Butler ที่เหมือนมี Elvis มาประทับร่างจริง ๆ, Tom Hanks ที่ชื่อนี้การันตีคุณภาพมาหลายทศวรรษอยู่แล้ว, จนไปถึงสาว ๆ ตัวประกอบในฉากต่าง ๆ ที่ทำให้เรา… ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ เกิดไม่ทันและไม่ได้อินกับ Elvis ได้เชื่อและเห็นแจ่มแจ้งว่า Elvis ปังอย่างไรใรยุคนั้น และคนในยุคนั้นคลั่งรักผู้ชายคนนี้ขนาดไหน โดยเห็นได้จากสีหน้า แววตา และอากัปกิริยาต่าง ๆ (ซึ่งอาจจะคล้ายกับที่คนรุ่นใหม่กรี๊ด ๆ ดาราไอดอลกันทุกวันนี้กระมัง) เพราะถ้าเน้นให้เราดูแต่โชว์ของ Elvis อย่างเดียว เราก็อาจเข้าไม่ถึง แต่การที่เราได้เห็นคนดูในยุคนั้นเขาอินกับ Elvis แบบนี้ มันทำให้เราเข้าใจอิทธิพลของ Elvis
โดยสรุป สำหรับเรา Elvis ยังไม่ใช่หนังอัตชีวประวัติคนดังที่ปังหรือขึ้นหิ้งนัก แต่ก็ยังคุ้มค่าที่ได้ทำความรู้จักกับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและไอคอนในยุคพ่อแม่มากขึ้น หนังอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จสูงสุดในเรื่องการคืนชีพ Elvis Aaron Presley ขึ้นมาอีกครั้ง แต่เราเชื่อว่าหนังได้ช่วยแจ้งเกิดให้กับ Austin Butler ดาวรุ่งคนใหม่แห่งฮอลลีวู้ดแล้วหนึ่ง
See the Elvis Cast Compared to the Real-Life People they Play