ดู Warfare แล้ว โกรธมาก สนุกโคตร โกรธที่คนไทยเพิ่งได้ดู
Warfare เป็นหนังสงครามจากค่าย A24 กำกับและเขียนบทโดยเสด็จพ่อ Alex Garland (จาก Civil War) ร่วมกับ Ray Mendoza ทหารผ่านศึกสงครามอิรัก
หนังสร้างจากเรื่องจริง เสมือนการบันทึกเหตุการณ์จริงในสงครามอิรัก ณ วันที่ 19 พ.ย. 2006 จากความทรงจำของผู้กำกับเอง (เรื่องราวเกิดขึ้น 19 ปีก่อนหน้านับจากวันที่เราเขียนรีวิวนี้พอดี) และนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ Warfare มันสดใหม่ ไม่เหมือนหนังสงครามเรื่องอื่น ๆ ที่เคยดู
หนังมีความยาวเพียงชั่วโมงครึ่ง แต่ Alex Garland ใช้ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ดึงความเป็นมนุษย์ของตัวละครทหารออกมาเต็มเหนี่ยวตั้งแต่วินาทีแรก และตรึงอารมณ์คนดูอยู่หมัดตั้งแต่ฉากเปิด ที่เปิดด้วยทหารทั้งกองดูทีวีสนุกสนานเฮฮาร่วมกันก่อนจะตัดไปที่ความมืดและความเงียบงันท่ามกลางสมรภูมิที่ไม่มีอะไรคาดเดาได้เลยสักวินาที
องก์แรกของหนังเน้นสโลว์เบิร์น ยังไม่รีบทิ้งระเบิดหรือยิงตู้มต้าม โฟกัสกับอิริยาบถหรือวิถีชีวิตนาทีต่อนาทีของหน่วยที่ซุ่มสังเกตการณ์อยู่ในบ้าน ซึ่งหาดูได้ยากยิ่งในหนังสงคราม ก่อนจะเริ่มดุเดือดแบบลืมหายใจจนต้องร้องขอชีวิตในช่วงองก์สองเป็นต้นไป

ถึงแม้ว่าหนังจะมีตัวละครทหารมากมาย แต่คนที่มีบทบาทเด่น ๆ เป็นคนที่พวกเราหน้าคุ้นกันอยู่แล้ว เช่น Will Poulter (จาก Midsommar) เป็นผู้กอง Erik, Kit Connor (จาก Heartstopper) เป็น Tommy เด็กใหม่, Cosmo Jarvis (จาก Persuasion) เป็นสไนเปอร์ Elliott, Joseph Quinn (จาก A Quiet Place) เป็น Sam, Charles Melton (จาก May December) เป็น Jake หัวหน้าของอีกหน่วยที่มาช่วยหน่วยนี้อีกที, และ D’Pharaoh Woon-A-Tai รับบทเป็น Ray Mendoza (ผู้กำกับ)
ถึงกระนั้น หนังก็ไม่ได้มีตัวเอกหรือโฟกัสกับตัวละครใดตัวละหนึ่งเป็นพิเศษ หนังโฟกัสกับความเป็นทีมเวิร์กของตัวละคร และทำให้เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นคือตัวเอกที่แท้จริง ทั้งงาน sound design ที่โดดเด่นมาก ๆ และฉากความรุนแรงที่สมจริง ทำให้คนดูเหมือนได้ไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ผ่าน ๆ แต่ยัง “รู้สึก” เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาจริง ๆ
Warfare จึงเป็นหนึ่งในประสบการณ์การดูหนังในโรงภาพยนตร์ที่ตราตรึงเรามากที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี งาน sound design ระดับนี้ต้องดูในโรงเท่านั้นจริง ๆ