✨ 1. James Gunn: The Red Cape and the Dawn of Hope
เมื่อ James Gunn ชายผู้สร้างชื่อให้ Marvel กับไตรภาคสุดเกรียน Guardians of the Galaxy ย้ายฐานมากุมชายผ้าคลุมสีแดงของ Superman ซูเปอร์ฮีโร่ตัวท็อปของ DC ผลลัพธ์ที่ได้คือ… Superman ที่เป็นมนุษย์ที่สุด อบอุ่น ตลก จับต้องได้ และเป็นหนัง Superman ที่เราชอบมากที่สุด (ขอโทษนะ Zack Snyder)
🎸 2. Gunn’s Signature: Family, Humor, and Killer Tunes
เราเคยพูดไปแล้วตอนรีวิว The Suicide Squad ว่า James Gunn คือผู้กำกับที่คูลที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค วันนี้เราก็ยังยืนยันคำเดิม เราชอบสไตล์ของเขา ที่แฝงประเด็นครอบครัว การเมือง ความกวนโอ๊ย มุกตลกสามช่า และดนตรีประกอบอันบ่งบอกถึงความเทสต์ดีของเขา และวันนี้เขาทำให้ Superman ได้เป็นแสงอาทิตย์หรือรุ่งอรุณแห่งความหวังของจักรวาล DC อีกครั้ง
James Gunn คือผู้กำกับที่คูลที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค

🦸♂️ 3. A Superman with Heart — and Krypto the Superdog
เขาทำให้ Superman (David Corenswet จาก Twisters) เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ “ดูมีอยู่จริง” ไม่ใช่เป็นพระเจ้าที่แตะต้องไม่ได้หรือเข้าไม่ถึง เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความเป็นมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึก อ่อนแอ ผิดพลาด เจ็บได้แพ้เป็น และตั้งคำถามกับ “ตัวตน” ของตัวเอง (“มนุษย์ vs. เอเลี่ยน”, “ชาวโลก vs. ชาวคริปโตเนียน”, ฯลฯ) ซึ่งหนังก็ทำได้ดีในการสื่อถึงว่า สุดท้าย สิ่งที่กำหนดตัวตนของเราก็คือ การตัดสินใจเลือก และการกระทำ ในวันนี้ ไม่ใช่อดีตหรือโคตรเหง้าของตัวเอง (Your choices, your actions, that’s what makes you who you are.)
และ Superman หรือ Clark Kent เวอร์ชั่นนี้ ยังคงให้ความรักนำทางอยู่ หากแต่เป็นความรักต่อเพื่อนมนุษย์และเพิ่มเติมคือ รักหมา (เหมือน John Wick) ซึ่งเจ้า Krypto หรือ Superdog นี่น่ารักมาก เป็นการใส่สัตว์เลี้ยงเข้ามาอย่างมีประโยชน์ต่อเส้นเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่ใส่มาเพียงเพื่อตามกระแสหรือตกทาสหมาทาสแมวเหมือนหนังฮีโร่บางเรื่องก่อนหน้า
📰 4. Lois Lane, Finally Done Right
ในขณะที่ Lois Lane (Rachel Brosnahan จาก House of Cards) เวอร์ชั่นนี้ ก็ไม่น่ารำคาญ ไม่เป็นคนรักที่เป็นภาระหรือตัวปัญหาให้ Superman ที่สำคัญ เธอยังเป็นนักข่าวหญิงแกร่งที่ถูกต้องตามยุคสมัย ควรค่าแก่การเป็น role model ของผู้หญิงยุคใหม่ที่สตรองและมีสติ บาลานซ์การงานและความสัมพันธ์ได้ดี เป็นทั้งคนรักและ working woman ที่ independent
👨🌾 5. Found Families and Farmer Roots
ส่วนความรักต่อครอบครัว James Gunn เคยทำ “ประเด็นครอบครัวและตัวเอกที่กำพร้าพ่อแม่” ได้โคตรกินใจมาแล้วใน GOTG และใน Superman นี้ เขาก็ยังไม่ทำให้ผิดหวังกับการขยี้ประเด็นดังกล่าวในเรื่องที่ถูกเขียนตั้งแต่ปี 1938 ได้อย่างน่าจดจำ ทั้งประเด็น พ่อแม่ที่ให้กำเนิด vs. พ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา, การสร้างตัวละครพ่อแม่ชาวไร่ของ Clark Kent ที่น้อยแต่มาก และทำให้เหมือน “ญาติผู้ใหญ่ที่มีทุกบ้าน” ที่คนดูจะ relate ได้, จนไปถึง “ฉากจบที่โคตรทัชใจและอิมแพกต์ฟูล”

💥 6. The Justice Gang and Gunn’s Mischief — So Very Gunn.
ส่วนความเกรียนหรือความตลก ซึ่งเป็นเสมือนลายเซ็นของ James Gunn นั้น เขาเอาไปใส่ในสตอรี่และตัวละครอื่นแทน เช่น กลุ่มเมต้าฮิวแมน “Justice Gang” อันประกอบด้วย Green Lantern กับทรงผมกะลาครอบ (Nathan Fillion), Hawkgirl (Isabela Merced), และ Mr. Terrific (Edi Gathegi)
โดยส่วนตัว เราชอบ Mr. Terrific เป็นพิเศษ เพราะมันสมองและสกิลการโค้ดที่โคตรเท่ แถมยังมีฉากแอ็คชั่นฉายเดี่ยวที่โคตรคูลและลายเซ็น GOTG ชัดมาก แต่ James Gunn ก็ไม่ทำให้ฉากนั้นมันขโมยซีนหรือทำให้คนดูลืมว่านี่เป็นหนังของพี่ Superman โดยให้ฉากนั้นมันโฟกัสที่ Lois Lane มากกว่า Mr. Terrific ซึ่งเราคิดว่า มันเป็นการดีไซน์ซีนที่ฉลาดมาก ไม่ผิดหวังที่ขนานนามเขาว่า “ผู้กำกับที่คูลที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค”
🧠 7. Lex Luthor: Brains vs. Brawn, Heart vs. Ego
ตัวละคร Lex Luthor มหาเศรษฐีอัจฉริยะฟาสซิสต์ ก็ดูมีอยู่จริง (อาจเพราะโลกนี้มันมีคนแบบนี้อยู่จริง ๆ ไปแล้ว) เราชอบการเล่นมุกที่ไม่รู้ (หรือจริง ๆ คือ ignore นั่นแหละ) ว่าคู่อริตัวเองมาจากดาวไหนกันแน่ (ดาวอังคารหรือดาวศุกร์) และชอบการแสดงของ Nicholas Hoult (จาก The Menu) ที่โคตรโดดเด่น ทั้งที่ตัว Luthor ใช้แต่สมอง ปาก และนิ้วชี้สั่ง ซึ่ง ณ ตรงนี้ หนังพูดถึง “สมอง vs. กำลัง” ที่ไม่ใช่แค่ผิวเผิน แต่ลึกไปถึง “brain without heart vs. strength with good heart” ว่าสุดท้าย ไม่ว่าจะ “สมอง” หรือ “ร่างกาย” มันก็ล้วนเป็น “แค่เครื่องมือ” ไม่สำคัญเท่า “จิตใจ” ที่ควบคุมการกระทำ
“สมอง” และ “ร่างกาย” เป็น “แค่เครื่องมือ”
ไม่สำคัญเท่า “จิตใจ” ที่ควบคุมการกระทำ

📱 8. A Superman for Our Messy World
อีกอย่างที่เราชอบคือ Superman เวอร์ชั่นนี้ถูกปรับให้เข้ากับยุคสมัย (แน่นอนว่า ไม่มีฉากเปลี่ยนชุดในตู้โทรศัพท์สุดคลาสสิกแล้ว)
ตัวร้ายของเรื่องยังคงเป็น นายทุนที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวกับนักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ซึ่งมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เชิงอุดมการณ์ของคนรากหญ้ากับทุนนิยม แต่ยังสะท้อน สงครามระหว่างประเทศ อิสราเอล-ปาเรสไตน์ หรือ รัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แม้กระทั่ง ดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น แฟนบอยของ Superman ที่เป็นชาวมุสลิมในอเมริกา
นอกจากนี้ คือประเด็นสื่อ จากเดิมที่หนังให้บทบาทกับสื่อหลักอย่าง Daily Planet อยู่แล้ว หนังยังเพิ่มความสำคัญของสังคมโซเชียลมีเดีย เช่น มุกเสียดสีการถ่ายรูปเซลฟี่หรือการถ่ายคลิปก่อนจะวิ่งหนีเอาตัวรอด, เกรียนคีย์บอร์ด หรือ IO, การใช้สื่อ ทั้งสื่อหลักและสื่อโซเชียลฯ ทั้ง traditional และ digital เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ สร้าง และทำลาย, และการเชื่อหรือคล้อยตามสื่อง่ายโดยปราศจากการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ เป็นต้น
🌍 9. A Living, Breathing Comic with Soul
โดยสรุป นี่เป็นหนังที่เสมือนคอมมิคที่มีชีวิตและจิตใจ James Gunn ได้มอบ Superman เวอร์ชั่น 2025 ให้ชาวโลกอย่างจริงใจ ตีแผ่ประเด็นตัวตน ครอบครัว สื่อ สังคม และความเป็นมนุษย์ ได้เข้ากับยุคสมัย สดใหม่ แต่ยังเคารพหัวใจของต้นฉบับและไม่ละทิ้ง DNA ของ Superman ที่สำคัญ… James Gunn ไม่ละทิ้งลายเซ็นของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำเรื่องอะไร และนั่นคือ… สิ่งที่ทำให้งานของเขามีความหมาย และเขาเองก็สมมงกับการเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่คูลที่สุดแห่งยุค
Your choices, your actions, that’s what makes you who you are.