เมื่อปี 2019 เราเคยคิดว่า Shazam! (ภาคแรก) จะช่วยกอบกู้ฮีโร่จักรวาล DC ได้ เพราะเป็นหนังฮีโร่ coming-of-age ที่พูดประเด็นครอบครัว…ที่ไม่จำเป็นต้องสายเลือดเดียวกัน…ได้เป็นอย่างดี และทำให้คนดู โดยเฉพาะวัย Gen-Z ได้รู้สึกว่า ใคร ๆ ก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้ แต่พอได้ดูภาคสองในปี 2023 ก็อาจจะต้องคิดใหม่
ถึงแม้ Shazam! Fury of the Gods จะได้ผู้กำกับคนเดิมอย่าง David F. Sandberg มากุมบังเหียน แต่โทนของหนังก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปจากภาคแรกพอสมควร เช่น ประเด็น coming-of-age หรือปมครอบครัวในใจของ Billy Batson (Asher Angel) ก็เบาบางลงอย่างชัดเจน
ภาคนี้ไปเน้นฉากแอ็คชั่น พลังวิเศษ สัตว์ประหลาด หรือสิ่งเหนือธรรมชาติเยอะขึ้น แต่เรารู้สึกว่า เต็มไปด้วยปริมาณที่น่าเบื่อคำว่า “เต็มไปด้วยปริมาณ” ยังรวมถึงตัวละคร ที่ยั้วเยี้ยไปหมด นอกจาก Shazamily เดิม อันประกอบด้วยพี่น้อง 5-6 คน (ที่แต่ละคนก็มีร่างผู้ใหญ่หลังแปลงร่างให้ต้องกระจายบทด้วยอีก) และพ่อแม่อุปถัมภ์แล้วยังมีฝั่งตัวละครใหม่อีก ตั้งแต่เทพ Hespera (Helen Mirren จาก Fast & Furious) และ Kalypso (Lucy Liu จาก Charlie’s Angels), เด็กใหม่ Anne (Rachel Zegler จาก West Side Story), ยังไม่รวม พ่อมด (Djimon Hounsou จาก Guardians of the Galaxy) ที่ทุกคนต่างเห็นว่าเขาตายกลายเป็นเถ้าไปแล้วในภาคแรก ก็ยังกลับมาในภาคนี้ (เขาปรากฏในเทรลเลอร์อย่างชัดเจน จึงไม่ถือเป็นการสปอยล์)
จริง ๆ แล้ว หนังภาคนี้ เหมือนเป็นหนังของ Freddy (Jack Dylan Grazer จาก It) มากกว่า Billy Batson แล้วเสียอีกนอกจากบทดราม่าและการค้นหาตัวตนของ Billy จะน้อยลงแล้ว ภาคนี้ Billy ยังแอร์ไทม์น้อยลงไปเลย เนื่องจากมันต้องกระจายไปให้ ตัวเขาในร่างฮีโร่ผู้ใหญ่ (Zachary Levi จาก Thor) มากขึ้น ในขณะที่ Freddy มีฉากฉายเดี่ยวหรือประกบพ่อมดเยอะมาก แถมยังมีเลิฟไลน์กับนางเอกผู้เข้าชิงออสการ์อย่าง Rachel Zegler ด้วยอีก นานทีเขาจะแบ่งความเด่นไปให้ ตัวเขาในร่างฮีโร่ผู้ใหญ่ หรือ Captain Everypower (Adam Brody จาก Ready or Not) บ้าง
พอยต์ที่เราต้องการจะสื่อคือ พอ Shazam! Fury of the Gods มีตัวละครเยอะ มันเกิดการกระจายบทอย่างสุกเอาเผากินและความยุ่งเหยิงของเส้นเรื่องของแต่ละตัวละครที่ไปได้ไม่ถึงไหนเลยสักตัว จนทำให้บางตัวละครถูกด้อยความสำคัญ ขาดพัฒนาการ ดูไม่มีอะไรทำหรือไม่รู้จะทำอะไร
อย่าง Lucy Liu ก็เหมือนไม่ค่อยทำอะไรนอกจากทำหน้าร้าย ๆ นิ่ง ๆ (ซึ่งพูดตรง ๆ เหมือนคนหน้าตึงโบท็อกซ์มากกว่า) บนหลังมังกรที่ทำจากวัสดุห่วย ๆ เช่นเดียวกับที่แม่อุปถัมภ์พูดในองก์สุดท้ายของหนังว่า “I DON’T KNOW HOW TO PARENT HERE / IN THIS SITUATION.” ซึ่งเราเห็นด้วยเลย… เพราะพอหนังภาคนี้อยากไปจัดหนักกับฉากแอ็คชั่นทำลายล้างเมืองและขายซีจี พวกเขาก็ลืมที่จะเขียนบทดี ๆ ให้กับพาร์ทครอบครัวซึ่งเคยเป็นหัวใจสำคัญแต่แรกไปเลย
ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป… ภาคหน้า ๆ หรือในอนาคต Shazam! อาจกลายเป็นแค่หนังบล็อกบัสเตอร์เรื่องหนึ่ง ที่เอาคำว่า “ครอบครัว” มาประดับโรยหน้าเพื่อความสวยหรู เหมือนแฟรนไชส์หนังเรื่องหนึ่งที่พาออกดาวอังคารอย่างไม่รู้จบมากว่าทศวรรษ