A Familiar Formula, Done Right
F1 The Movie เป็นหนังสูตรสำเร็จ ไม่ได้มีอะไรใหม่มาก คลิเช่ คาดเดาง่าย ตามสูตรของหนังแนวเกมกีฬาและการแข่งรถแบบที่เราก็เคยดูกันมาก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่า “สูตรสำเร็จ” มันก็เป็นสูตรที่ “สำเร็จ” อยู่เสมอ โดยเฉพาะ ยิ่งมาถูกปรุงแต่งด้วยทีมงานมืออาชีพ (ทีมงาน Top Gun: Maverick รวมถึง Joseph Kosinski และ Hans Zimmer) และนักแสดงระดับ A-List อย่าง Brad Pitt และ Javier Bardem
If You Loved Top Gun, You’ll Probably Like This Too
พูดง่าย ๆ ถ้าคุณเป็นแฟน Formula 1 หรือชอบหนังซิ่งรถ ยังไงคุณก็ดู F1 The Movie สนุก และถ้าคุณชอบ Top Gun: Maverick คุณก็จะชอบ F1 The Movie เช่นกัน (แต่อาจจะชอบน้อยกว่า)
เราเอง เราก็จัด F1 The Movie อยู่ใน tier ที่เราชอบมากอยู่ สำหรับหนังป๊อปคอร์นที่เน้นความบันเทิง ดูสนุก ดูเพลิน แต่คงไม่ยกยอให้ถึงขั้น legendary แบบ Rush หรือ Ford v Ferrari ซึ่งสองเรื่องนี้ เรายกให้เรื่องบีบเค้นอารมณ์ และ ณ ตอนนั้น ก็ถือว่า หนังเหล่านั้นมอบความสดใหม่ให้กับเราอยู่
ส่วนระดับอารมณ์ของ F1 The Movie เราจัดเขาให้อยู่ tier กลาง ๆ ประมาณ Gran Turismo เพียงแต่ F1 The Movie ได้เปรียบกว่าเรื่องหลังในแง่ของ “สเกล” และ “สตาร์” (ใช่ค่ะ เราหมายถึง Brad Pitt ซึ่งตอนนี้ 60 แล้ว ก็ยังหล่ออยู่ — Benjamin Button คุณหลอกดาว)

What Are You Racing For?
Brad Pitt รับบทเป็น Sonny Hayes อดีตนักแข่งรถดาวรุ่ง ที่อดีตคู่หูของเขา Ruben (Javier Bardem จาก Dune) ไปดึงเขาให้หวนคืนสู่สนาม F1 อีกครั้งในรอบ 30 ปี โดย Sonny Hayes ต้องมาเป็นทั้งคู่หู คู่แข่ง และป๋าดันให้ Joshua Pearce (Damson Idris)
ประเด็นที่เราชอบคือการตั้งคำถาม “ทำเพื่ออะไร” เช่น Joshua Pearce ซึ่งถือว่ายังเป็นนักแข่งหน้าใหม่ อาจยังสับสนในเป้าหมาย และโฟกัสผิดจุดไปบ้าง เช่น เขามาทำอาชีพนี้เพื่อชื่อเสียง เงินทอง วัตถุนิยม หรือปัจจัยภายนอก ทำให้หลงไปกับสิ่งรบกวน (noise) หรือคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย จึงทำให้เขายังไม่สำเร็จหรือรู้สึกเติมเต็มสักที ในขณะที่ Sonny Hayes ซึ่งไม่ใช่แค่เก๋าประสบการณ์กว่า แต่เขาไม่ได้โฟกัสแต่ตัวเอง หากแต่ตั้งใจมาทำเพื่อเพื่อนและเพื่อทีมจริง ๆ
หนังจึงเน้นที่ความสัมพันธ์ ทีมเวิร์ก และการเติบโตร่วมกันในระยะยาวมากกว่าการเอาชนะ การเป็นที่หนึ่ง หรือกระทั่งความเร็ว (ซึ่ง again ไม่ได้ใหม่ แต่เราก็ไม่ได้บอกว่า มันทำให้คุณค่าของหนังน้อยลงเช่นกัน)
Not Based on a True Story, But Feels Impactful Enough
และเมื่อพิจารณาจากแง่มุมที่ว่า F1 The Movie ไม่ได้ based on ture stories อย่างเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น ต้องชื่นชมว่า เขาก็เขียนบทได้ “ขลัง” และสร้างพลัง แรงบันดาลใจได้มากอยู่สำหรับหนังที่ไม่ได้สร้างจากเรื่องจริงหรือตัวบุคคลจริง ส่วนหนึ่งอาจเพราะ Formula 1 เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ โปรดิวเซอร์ก็เป็นแชมป์ F1 หลายสมัย และในหนังก็มีนักแข่งตัวจริงมาร่วมเฟรมมากมายด้วย
A True IMAX Experience
ถึงแม้บทอาจจะไม่เข้มข้นเท่าหนังรุ่นพี่ แต่ก็ชื่นชมที่พวกเขาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น IMAX ได้อย่างคุ้มค่ามาก ๆ โดยเฉพาะฉากในสนามแข่ง ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเราไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยจริง ๆ และ โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์อย่าง lap สุดท้าย คือเหมือนได้บินตาม Brad Pitt ไปเลย
ดังนั้น ถ้าถามเราว่า คุณค่าสูงสุดของหนัง Joseph Kosinski คืออะไร ทั้ง Top Gun: Maverick และ F1 The Movie เราตอบได้เลยว่า cinematic experiences ซึ่งหมายความว่า “เป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การดูโรงใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้”
Not the Freshest, But Still Worth the Ride
F1 The Movie อาจไม่ได้ใหม่ที่สุดหรือแรงที่สุด แต่ก็เป็นหนังที่เพิ่มมูลค่าให้สูตรสำเร็จ สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก และช่วยต่อลมหายใจหรือการมีอยู่ของ “โรงภาพยนตร์” ไปได้อีกหลายปี ซึ่งก็ถือว่ามากพอแล้วที่จะเรียกว่า “หนึ่งในหนังแห่งปีในปีนี้”