เราเป็นคนไม่ค่อยชอบดูหนังญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก (ตามที่เคยกล่าวไว้ในบล็อกรีวิว Our Little Sister) ตอนได้รับอีเมลเชิญไปดู “Attack on Titan Part I : ผ่าพิภพไททัน” รอบสื่อมวลชน เราจึงเฉยๆ มาก
แต่เห็นเขาบอกว่าเป็นภาพยนตร์อภิมหากาพย์ Live Action สุดยิ่งใหญ่แห่งปี (ดีออก Adjective เยอะจุง…) สร้างจากการ์ตูนหรือมังงะชื่อดังที่ขายได้มากกว่า 36 ล้านเล่มทั่วโลก อีกทั้งยังเคยถูกสร้างเป็นอนิเมะยอดนิยมมาแล้วอีกต่างหาก เราเลย… เอาวะ ไททันก็ไททัน ไปดูก็ไปดู…
ก็ไปดูแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั่นแหละ ไม่เคยอ่านการ์ตูน ไม่เคยดูอนิเมะ เทรลเลอร์ก็เคยดูผ่านๆ เพียงรอบเดียว
รายละเอียดหนัง Attack on Titan Part I ประเภท : Epic / Action
ผู้กำกับ : ชินจิ ฮิกูชิ (The Floating Castle)
ผู้เขียน : ยูซุเกะ วาตานาเบ้ (Gantz, 20th Century Boys)
นักแสดง : ฮารุมะ มิอุระ, ฮิโรกิ ฮาเซกาวะ, กิโกะ มิซุฮาร่า
เรื่องย่อ Attack on Titan Part I
เมื่อยักษ์ใหญ่ในตำนาน หรือ “ไททัน” บุกทะลายกำแพงปราการของมนุษย์มาได้ (ใครจินตนาการกำแพงไม่ออก ให้นึกถึงใน The Maze Runner เลย) บ้านเมืองในกำแพงจึงถูกทำลายวอดวาย ชาวบ้านก็ล้มหายตายจากกันหมดสิ้น
สามสหาย Armin, Eren, และ Mikasa พากันหลบหนีเอาตัวรอด แต่ Mikasa พลัดหลงไประหว่างชุลมุน ส่วนสองหนุ่ม Armin กับ Eren ก็ไปร่วมเกณฑ์เป็นทหารอาสาเพื่อต่อกรกับเหล่ายักษ์ไททัน
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Attack on Titan Part I
จากความรู้สึกของเรา ในฐานะคนที่ไม่เคยอ่านหรือดู Attack on Titan มาเลยสักรูปแบบ คือไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ต้องบอกเลยว่า มีหลายจุดเหมือนกันที่ไม่เข้าใจ แต่เท่าที่ฟังความรู้สึกของคนที่เคยอ่านหรือดูมาก่อน หลายคนก็บอกว่า มีหลายจุดที่แตกต่างจากในมังงะ/อนิเมะ ที่สำคัญคือ หนังยังทำออกมาดีไม่เท่าฉบับอนิเมะ
ในส่วนของตัวบท เราไม่รู้ว่าต้นฉบับเขาเป็นยังไง แต่เท่าที่ดูในหนัง ถ้าหนังทำออกมายาวๆ หรือตั้งใจทำดีๆ น่าจะออกมาดีกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าหนังพยายามเล่าหรือสื่ออะไรหลายๆ อย่าง แต่สื่อไม่สุด เหมือนเอาพอยท์มาโยนทิ้งๆ โดยเฉพาะประเด็นการเมือง ประเด็นสังคม และประเด็นครอบครัว
หนังพยายามเล่นปมของมนุษย์ เช่น ปมกิเลสตัณหา ความอาฆาตพยาบาท หรือความเห็นแก่ตัวเอาตัวรอด แต่สุดท้ายหนังก็ดูจะไปให้น้ำหนักกับประเด็นความรักกุ๊กกิ๊กมากเกินไป แถมยังมีปมรักสามเส้าแซมมาอีกต่างหาก มันทำให้เรารู้สึกเสียอรรถรส และดูล้นเกินไปจนดูตลก
ตอนแรกเราก็แอบรู้สึกดีนิดๆ ที่หนังมีตัวละครหญิงในกองทัพทหารเยอะ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องผิดหวัง ตัวละครหญิงในหนังเรื่องนี้ยังเป็นตัวละครที่อ่อนแอ เห็นแก่กิน เฟอะฟะ กระสันอยากได้ผู้ชาย หรือไม่ก็ติดแฟนง้องแง้งไปวันๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่า ตัวละครหญิงหลายตัวไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อต่อสู้ แต่ถูกวางขึ้นเพื่อเป็นคู่เมคเลิฟกับเพศชาย หรือไม่ก็เพิ่มเคมีความกุ๊กกิ๊กเข้ามาในหนังให้ดูมีอะไรก็เท่านั้น เว้นแต่นางเอกคนเดียวที่ดูเก่งจริงๆ แกร่งจริงๆ (ซึ่งก็ตามฉบับออริจินัลที่เขาเขียนมา)
คาแรกเตอร์แทบทุกตัวในเรื่อง ดูติ๊งต๊องปัญญาอ่อน สมแล้วที่สร้างมาจากการ์ตูน พฤติกรรมและความคิดหลายอย่างค่อนข้างน่าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก (แต่ตัวละครหลักสวยหล่อดี พอให้อภัยได้) ตัวไททันเอง ก็ดูเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดโง่ๆ ที่หน้าตาอัปลักษณ์ โป๊เปลือย เหมือนผีเปรตวัดสุทัศน์ และมีจุดอ่อนเหมือนซอมบี้ทั่วไป แต่แค่ตัวใหญ่เท่าตึก
(โลเกชั่นในเรื่องคือ Hashima Island ที่พอจะเพิ่มความขลังและเสน่ห์ให้หนังขึ้นมาได้บ้าง)
ทั้งหมดนี้ ก็เข้าใจนะว่าหนังพยายามรักษาความเป็น “การ์ตูน” มากกว่าพยายามทำให้มัน “เรียล” ฟีล ณ ขณะดูหนังจึงค่อนข้างเหมือนนั่งดูการ์ตูนมากกว่านั่งดูหนังจริงๆ ซึ่งถามว่าบันเทิงมั้ย มันก็บันเทิงนะ แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย เราคงต้องส่ายหน้าเบาๆ ทั้งนี้ การดำเนินเรื่องที่ไร้เสน่ห์ก็มีส่วน ทั้งเรื่องดูสนุกแค่ฉากไฮไลต์ตอนจบ นอกนั้นเราว่าน่าเบื่อหมด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตัวบทและตัวละครจะไม่ค่อยโอเคนักสำหรับเรา แต่งานภาพและงานเสียงจัดว่าทำได้ดีอยู่ ดูแล้วก็ลุ้นระทึกในช่วงฉากแอ็คชั่นท้ายเรื่องดี ซีจีอาจจะไม่เนียนเท่าโปรดักชั่นฮอลลีวูด แต่โดยรวมก็ดีงามตามครรลองเอเชีย ไม่ได้แย่อะไร เลือดสาดคือเลือดสาด แขนขาขาดคือแขนขาขาด
ตัวยักษ์ไททันก็น่าเกลียดน่ากลัวตัวละห้าบาท เห็นแล้วจะไม่อยากทำผิดศีลข้อสาม เพราะกลัวตายไปแล้วจะเป็นผีเปรตแบบอีไททัน (ในบล็อกนี้ จะไม่ลงรูปอีไททันเลยนะ ให้ไปดูตัวเป็นๆ กันเองว่าอุบาทว์แค่ไหน ในโรงภาพยนตร์!)
เออ สรุปไททันมันสืบพันธุ์ยังไงวะ ภาคหน้านางจะเฉลยมั้ย?
Attack on Titan Part I ตัดจบในจุดที่ควรจะตัด อารมณ์ไม่ได้ค้างคาอะไร แต่ก็ค้างคาที่ความคิด เพราะยังมีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่หลายจุด คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะมาเฉลยให้รู้เรื่องใน Attack on Titan Part II (โชคดีที่หนังญี่ปุ่นเขาไม่ปล่อยให้เรารอภาคต่อยาวนานข้ามปีเหมือนหนังฝรั่ง)
ดังนั้น ต่อให้เราจะไม่ชอบ Attack on Titan Part I สักแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้ว พอภาคสองเข้า เราก็คงต้องเข้าไปดูให้จบๆ อยู่ดี
ป.ล. วิเคราะห์อะไรไม่ได้เลย ประเด็นสังคม การเมือง ครอบครัว นางอ่อนมาก เอาเป็นว่า จงเข้าไปดูเอาเพลินๆ บันเทิงใจ เป็นพอ ของแบบนี้ แล้วแต่คนชอบ (แต่เราไม่ชอบ ไม่ใช่แนวเรา เราให้ 5.75/10 จบ.)
“Attack on Titan Part I : ผ่าพิภพไททัน” เข้าฉาย 27 ส.ค. นี้ ทั้งในระบบปกติ, IMAX, และ 4DX
รีวิว Attack on Titan ภาค 2 : http://www.kwanmanie.com/attack-on-titan-part-2-review/
42 comments
หนังโคตร… โคตร…ห่วย ห่วยชิบหายเสียดายเงินวะเซ้ง ให้ 1 เต็ม 10 ห่วยมาก