The Upside สร้างจากเรื่องจริง กำกับโดย Neil Burger (จาก Divergent) โดยตัวหนังรีเมกจากหนังเรื่อง
ทั้งนี้ โดยส่วนตัว เราไม่เคยดูเวอร์ชั่นฝรั่งเศส (แต่ถ้ามีเวลาและหาได้ ก็อยากไปหาดูนะ) ดังนั้นในบล็อกนี้ เราจะเล่าแค่ในส่วนของ The Upside ล้วน ๆ ไม่มี The Intouchables ผสม
The Upside เป็นหนังฟีลกู้ด ถ่ายทอดพลังบวก บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพของคนสองคนที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว ทั้งหน้าตาสีผิว ลักษณะนิสัย รสนิยม และฐานะทางสังคม ระหว่าง Phillip Lacasse (Bryan Cranston จาก Trumbo) มหาเศรษฐีผู้เป็นอัมพาตเกือบทั้งตั
Dell จับพลัดจับผลูได้งานตำแหน่ง “ผู้ผดุงชีพ” ของ Phillip โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะ Phillip ถูกใจที่ Dell จริงใจ และไม่เหมือน candidates คนอื่นที่แต่งปั้นคำสวยหรู และมองเค้าเหมือนคนพิการคนหนึ่งที่น่าสงสารเวทนา โดยในตอนแรก Yvonne (Nicole Kidman นักแสดงออสการ์จาก The Hours) ผู้ช่วยคนสนิทของ Phillip ก็ไม่เห็นด้วย เพราะ Dell ดูไม่เอาไหน และดูไม่มีความสามารถที่จะดูแลใครได้เลยแม้กระทั่งตัวเขาเอง
สำหรับเรา เรื่องราวความสัมพันธ์ของสองคนนี้ถือว่าค่อนข้าง cliché และหนังก็เล่าตามสูตร (อย่างล่าสุดก็เพิ่งดู Green Book ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของนายจ้างกับลูกน้องที่แตกต่างกันสุดขั้วลักษณะนี้เหมือนกัน) แต่ด้วยความที่ The Upside มันสร้างจากเรื่องจริงของเค้าเอง มันจึงมีความเรียล และยังมีเสน่ห์บางอย่างที่ยังพอทำให้เราดูได้เพลิน ๆ เรื่อย ๆ
ความฮาคือการได้เห็น Kevin Hart พูดหรือทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นฮาจนกรามค้างหรือฮาตกเก้าอี้เหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ของ Kevin Hart เช่น มุกบางมุก เราก็ไม่ได้รู้สึกขำ บางมุกก็รู้สึกว่าหนังพยายามไปหน่อย แต่เรื่องคอเมดี้ก็พอเข้าใจได้ เพราะหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังดราม่า ที่นักแสดงไม่ควรเล่นใหญ่หรือโอเวอร์แอ็คติ้งจนดูไม่เรียล เพียงแค่หนังน่าจะทำให้พาร์ท ดราม่า-คอเมดี้ ไปด้วยกันได้กลมกล่อมกว่านี้
แต่ที่ยังดูสนุกได้เรื่อย ๆ เพลิน ๆ คือการได้เห็น Kevin Hart พา Bryan Cranston (เจ้านายในเรื่อง) ไปทำเรื่องชวนเสียผู้เสียคน เช่น สูบกัญชา, กินฮอตด็อก, ซื้อหญิงบริการ, ขับรถซิ่งเล่น ฯลฯ ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียคนคอขาดบาดตายอะไรหรอก เพราะทั้งคู่ทำแต่พอดี มันจึงเหมือนลูกน้องชวนเจ้านายไปใช้ชีวิตจริง ๆ และลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่เขาไม่เคยทำ
ในขณะเดียวกัน Bryan Cranston ผู้ซึ่งเป็นเจ้านายไฮโซ ก็สอนลูกจ้างคนนี้ ให้รู้จักคุณค่าของศิลปะ คุณค่าของตัวเอง และฟังโอเปร่า ควบคู่กับการให้โอกาสเขาเป็นคนใหม่ เป็นคนที่ดีขึ้น รวมถึงได้มีกำลังใจและกำลังทรัพย์ที่จะกลับไปดูแลลูกเมีย… ในแบบที่เขาควรจะทำมาตั้งนานแล้ว
โดยส่วนตัว เราชอบความรู้สึกที่ได้เห็น ชีวิตของคนคนนึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น (รวมถึงแย่ลง) เมื่อมีปัจจัยบุคคลคนใหม่เข้ามาในชีวิต ทำให้ชีวิตที่เคยเหมือนเดิมทุกวันซ้ำ ๆ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราว่ามันเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ … และเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์บนโลกนี้
โดยสรุป หนังมีทั้งพาร์ทที่เราชอบและไม่ชอบ ก็รู้สึกแหละว่า หนังมันควรจะดีกว่านี้ได้อีก อย่างเช่น องก์สุดท้ายที่เหมือนจะเป็นจุดสำคัญหรือจุดหักเหของเรื่อง ก็ยังไม่พีคอย่างที่ควรจะเป็น แต่โดยรวมแล้ว หนังก็ไม่มีจุดไหนที่เรารู้สึกว่ามันแย่ เพราะสุดท้ายแล้ว หนังเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ของสองคนนี้ และช่วยให้คนดูรู้สึกฟีลกู้ดและได้รับพลังบวกกลับไปตามที่คนทำหนังและนักแสดงเค้าตั้งใจไว้
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10
27 comments
Comments are closed.