หนังสือที่ชอบที่สุด อ่านแล้วเบิกเนตรที่สุด ในปีนี้ ต้องยกให้ The Let Them Theory: ทฤษฎีปล่อยเขา
📌 พิกัดหนังสือ The Let Them Theory (แปลไทย) >> https://s.shopee.co.th/VxowK0Ev8
ปกติเราเป็นคนที่พูด “ช่างมัน” อยู่บ่อย ๆ อยู่แล้ว ตอนแรกเราก็เลยไม่เข้าใจว่า หนังสือเล่มนี้ หรือทฤษฎี Let Them จะเป็นประเด็นใหม่ตรงไหน หรือจะเป็นแนวคิดที่พลิกชีวิตเราได้ยังไง แต่พอได้เปิดใจอ่านจริง ๆ มันทำให้เราเข้าใจว่า “Let Them” มันไม่ใช่แค่ “ช่างมัน” หรือ “Let it go”
“Let Them” มันไม่เหมือน “ช่างมัน” หรือ “Let it go” ที่เรามักจะพูดเวลารำคาญ ยอมแพ้ สิ้นหวัง (give up or surrender) … แต่มันมีพลังมากกว่านั้น … มันทำให้เราเข้าใจว่า “เรา Let Them ทำไม” และ “เราควรทำยังไงต่อหลังจาก Let Them” … ทำให้เราเห็นโอกาส และเห็นว่า ชีวิตเรา เราเลือกได้เสมอ เราสามารถสร้างหรือมีชีวิตและความสัมพันธ์ในแบบที่เราต้องการได้เสมอ
มันเหมือนเวลาที่เราอกหัก เลิกกับแฟน หรือผิดหวังกับอะไรสักอย่าง เราอาจจะพูดว่า “ช่างมัน มันจบแล้ว let it go” โดยพูดจากมายด์เซตที่ว่า ฉันทำอะไรไม่ได้แล้ว ฉันยอมแพ้ และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ เราร้องไห้ เสียใจ และรอว่าวันนึงเวลาเยียวยาทุกสิ่ง แต่ถ้าเราเข้าใจทฤษฎี Let Them เราจะไม่มองตัวเองเป็นผู้แพ้หรือคนสิ้นหวัง แต่เราจะมีพลังในการ “เลือก” ใช้ชีวิตต่อจากนั้นอย่างมีความสุข เราจะฮีลได้อย่างแท้จริง และเราจะเข้าใจจริง ๆ ว่า สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะคิด จะทำ หรือพูดอะไร คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราก็คือตัวเราเอง เสียงที่สำคัญที่สุดคือเสียงที่เราพูดกับตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี Let Them ไม่ใช่แนวคิดที่เห็นแก่ตัว หรือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล จนไม่สนใจผู้อื่น หรือต้องอยู่คนเดียวบนโลก ตรงกันข้าม ผู้เขียนทำให้เราเห็นว่า ถ้าเราใช้ ทฤษฎี Let Them เป็นจริง ๆ มันจะทำให้เราเป็นตัวเองได้มากขึ้น และความสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยหนังสือแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ You & The Let Them Theory เป็นส่วนที่โฟกัสที่ตัวเอง และส่วนสองคือ Your Relationships & The Let Them Theory เป็นส่วนที่เราจะเข้าใจว่า ทฤษฎี Let Them จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อน แฟน หรือครอบครัว ดีขึ้นได้อย่างไร โดยที่ไม่มีใครจำเป็นต้องฝืนหรือต้องเสียสละตัวตน
เอาจริง ๆ The Let Them Theory เป็นหนังสือหมวด “จิตวิทยาความสัมพันธ์” เลยล่ะ
ยกตัวอย่างเช่น หลายคนต้องติดอยู่กับความสัมพันธ์หรืองานที่ไม่ใช่ เพราะหวังว่าวันนึงแฟนจะเปลี่ยนนิสัยหรืออะไร ๆ ดีขึ้น ซึ่งวันนั้นมันอาจไม่มีอยู่จริง หรือถ้าเดินออกมา ก็อาจกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าชีวิตคู่/การงานล้มเหลว หรือกลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียความรู้สึก ทฤษฎี Let Them สอนว่า “Let them talk.” และ “Let me be honest with myself and live my life.”
จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีนี้เป็นขั้วตรงข้ามกับ “การฝืน บังคับ หรือพยายามควบคุม” โดย Let Them เป็นเพียงครึ่งแรกของโปรเซสเท่านั้น มันยังมีอีกขั้นตอน ครึ่งหลังที่สำคัญกว่า นั่นก็คือ Let Me
ถ้าเรากำลังอยู่กับแฟนที่งี่เง่าหรือความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก ทฤษฎี Let Them สอนว่า เราไม่ต้องไปพยายามควบคุมหรือแก้ไขอะไรในตัวเขา เพราะไม่มีใครเปลี่ยนใครได้ยกเว้นเขาจะเปลี่ยนของเขาเอง เราต้อง “Let them be.” แต่ไม่ใช่ว่าเรายอมโดยไม่ทำอะไร สิ่งสำคัญหลัง Let Them คือ Let Me หรือการโฟกัสกับตัวเอง ซึ่ง ณ ที่นี้ อาจจะหมายความว่า “Let me choose myself and be myself.” และนี่คือจุดเริ่มต้นของการค้นพบชีวิตที่มีความสุขและความสัมพันธ์ที่ healthy
โดยภาพรวม คอนเซ็ปต์หลัก ในหนังสือ The Let Them Theory มีพื้นฐานความคิดคล้ายกับปรัชญาสโตอิก ที่เราอ่านจากหนังสือ The Daily Stoic และใช้เป็นหลักการในการใช้ชีวิตในทุกวันนี้อยู่แล้ว เช่น การให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราควบคุมได้ และปล่อยวางในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ (Focus on what you can control (yourself), and let go of what you can’t.) แล้วเราจะมีพลังและเวลา ซึ่งเป็นทรัพยาการที่มีจำกัดและสำคัญที่สุด ในการโฟกัสกับชีวิตของตัวเอง โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญหรือมีความหมายกับเราจริง ๆ (Focus on your life. Focus on what truly matters.) แต่ผู้เขียน The Let Them Theory เขาเป็นนักพูด ทำยูทูบ ทำพอดแคสต์ เขาจึงมีความสามารถในการเล่าเรื่องปรัชญาสโตอิกนั้นให้เข้ากับบริบทปัจจุบันได้ดี ย่อยง่าย เข้าใจง่าย และนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวันได้ทันที
โดยส่วนตัว ตั้งแต่เราอ่านหนังสือ The Let Them Theory เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมากขึ้น และชีวิตมีความหมายมากขึ้น เพราะเราเลิกยึดติดกับสิ่งที่เราคอนโทรลไม่ได้ เช่น ความคิดหรือการกระทำของผู้อื่น เราโฟกัสกับตัวเองมากขึ้น ตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น สามารถตัดสินใจและทำไม่ทำอะไรได้สอดคล้องกับตัวตนหรือความต้องการของตัวเองจริง ๆ
📌 พิกัดหนังสือ The Let Them Theory (แปลไทย) >> https://s.shopee.co.th/VxowK0Ev8