สัปดาห์ที่แล้ว เรารู้จักหนังเรื่อง Sway ครั้งแรกจากอีเมลของค่ายหนังเล็กๆ ค่ายหนึ่งที่มาขอฝากเนื้อฝากตัวให้เราช่วยโปรโมตให้ บอกตามตรงว่า ตอนนั้นที่เราอัพบล็อก “แนะนำภาพยนตร์เรื่อง Sway” เราก็ทำมันไปตามหน้าที่ และทำเพราะอยากจะช่วยสนับสนุนหนังคนไทยด้วยกัน
ตอนแรกก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะตกปากรับคำมาดูรอบสื่อดีมั้ย (1 ธ.ค.) เพราะเท่าที่เห็น กลัวหนังมันไม่ใช่แนวเรา เรากลัวง่วง แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจมาร่วมชมรอบสื่อ ตอนแรกก็กะพอเป็นพิธี และกะจะดองบล็อกรีวิวเอาไว้ก่อน (เพราะหนังฉายจริงตั้งวันที่ 10 ธ.ค.) แต่พอเอาเข้าจริง หลังจากได้ดู Sway จบออกจากโรง เราบอกตัวเองเลย “เฮ้ย มันดีมาก ดองไม่ได้ละ งานอื่นไว้ก่อน กลับถึงบ้านปุ๊บ ฉันต้องเขียนเรื่องนี้ คืนนี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น”
และนั่นก็เลยทำให้เกิดมาเป็นบล็อกนี้ขึ้นมาให้ผู้อ่านได้อ่านในเวลาที่เร็วกว่ากำหนดที่ตัวบล็อกเกอร์เองตั้งใจไว้…
ถ้าใครเคยอ่านหรือเคยเห็นโพสต์ “แนะนำภาพยนตร์เรื่อง Sway” ของเรา ก็คงพอจะรู้จักกันคร่าวๆ แล้วว่า Sway เป็นหนังเล็กๆ ผลงานโกอินเตอร์ของผู้กำกับฯ คนไทย “คุณ รุจ ตั้งจิตปิยะนนท์” ที่ได้รับการคัดเลือกให้ฉายในเทศกาล Toronto Film Festival, Golden Horse Film Festival (Taiwan), Singapore Film Festival ในปี 2014 และ Shanghai Film Festival ในปี 2015
Sway ถ่ายทำทั้งหมด 3 ประเทศใน 3 ทวีปทั่วโลก (Bangkok, Paris, และ LA) นักแสดงนำก็นานาชาติและมีฝีมือกันทั้งนั้น หนึ่งในนั้นคือ อนันดา เอเวอริงแฮม และ ลู่ หวง (Lu Huang)
และสำหรับบล็อกนี้ จะเป็นบล็อกที่เราจะมาเล่าและ recommend หนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จากสมองและหัวใจน้อยๆ ของเราเอง ที่เต็มไปด้วยความคิดและความรู้สึกมากมายที่เราตกผลึกเองหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Sway (รอบสื่อ)
เรื่องย่อ Sway
Sway เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของสามคู่รักสามประเทศสี่เชื้อชาติ (ถ้านับไม่ผิด)
- ปารีส (Paris) หลังจากที่ตกงานและถังแตก อาเธอร์ หนุ่มเชื้อสายจีนสัญชาติอเมริกัน กลับมาอยู่กับ วิเวียน แฟนสาวซึ่งเป็นอดีตดาราปักกิ่ง เป็นการชั่วคราวจนกว่าวีซ่าของเขาจะหมด เขาพยายามโน้มน้าวให้วิเวียนตามไปอยู่กับเขาที่อเมริกา แต่วิเวียนกำลังสนุกกับงานเขียนข่าวที่ปารีสมาก และในขณะเดียวกัน พ่อแม่ของอาเธอร์ก็ทะเลาะกันถึงขั้นจะหย่าร้างกัน ทำให้อาเธอร์ครุ่นคิดถึงชีวิตของเขาพร้อมๆ กับการตัดสินใจของพ่อแม่ในอดีตครั้งที่ย้ายครอบครัวจากจีนไปอยู่อเมริกา
- กรุงเทพฯ (Bangkok) สองสามีภรรยาคู่ใหม่ จูน กับ ปาล์ม ใช้ชีวิตคู่ในห้องรูหนูเล็กๆ อย่างไม่มีหลักแหล่ง เพราะเอาเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนธุรกิจของปาล์มในอเมริกาหมดแล้ว ปาล์มมีความฝันอยากย้ายไปอยู่ LA ในขณะที่จูนไม่อยากไป เป้าหมายในอนาคตที่แตกต่างกันทำให้ความสัมพันธ์เริ่มสั่นคลอน และอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อจูนตั้งครรภ์
- ลอสแองเจลิส (Los Angeles) อแมนดา หญิงสาวอเมริกันแท้ที่มาแต่งงานกับ อีริค พ่อม่ายชาวญี่ปุ่น ที่มีลูกติดวัยรุ่นอีกหนึ่งชื่อ เกรซ นอกจากจะต้องพยายามเอาชนะใจเกรซซึ่งก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเธอแล้ว อแมนดายังต้องเจอกับความยากลำบากเกี่ยวกับความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งบางครั้งเธอก็รู้สึกว่าเธอกำลังอยู่ผิดที่เป็นทางและเป็นส่วนเกินของครอบครัว
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Sway
อย่างแรกที่ขอชมเกี่ยวกับตัวหนังคืองานภาพ เราชอบการถ่ายภาพบนแผ่นฟิล์ม (16 มม.) ของเขานะ ที่สำคัญคือเราเห็นความตั้งใจของคนทำหนังในการถ่ายภาพ ทุกช็อตในเรื่องเขาคุมสเกลให้ภาพมันมีน้ำหนัก 1/3 ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มุมกล้องเท่ดี มีเล่นหน้าชัดหลังเบลอด้วย (ถูกใจฮิปสเตอร์ ฮา~)
ส่วนโลเกชั่นที่ชอบที่สุดในบรรดาสามประเทศในหนังคือฉากในกรุงเทพฯ คือมันดูจริงและดูเวรี่ Bangkokers ในแบบฉบับคนชั้นกลาง โดยเฉพาะชีวิตที่มันต้องวนเวียนอยู่กับคอกในออฟฟิศกับรถไฟฟ้า BTS/MRT นี่คือเรียลมาก (แต่จะเรียลกว่านี้ ถ้าเขาถ่ายตอนเวลาที่คนบนรถไฟฟ้าแน่นเป็นปลากระป๋อง)
ในส่วนของเนื้อหา ตอนแรกก่อนจะเข้าไปในโรงมีความเป็นกังวลว่าหนังจะชวนง่วง แต่เอาเข้าจริง ไม่ง่วงเลย ถึงแม้หนังจะเล่าเรื่องเรื่อยๆ แต่มันเต็มไปด้วยความน่าสนใจและชวนติดตาม เพราะหนังมันโคตรเรียล มันคือ “ชีวิต” ของเรา มันคือ “ชีวิต” ของคนทุกคน มันคือ “ปัญหา” ของคนทุกคน ณ ขณะดู มันมีข้อคิดให้เราต้องคิดตามและย้อนดูชีวิตตัวเองกับคนรอบตัวเราตลอดเรื่องเลยจริงๆ
คือทุกคนต่างก็ล้วนมีอดีตของใครของมันก่อนที่จะมาเจอคนอีกคนและใช้ชีวิตปัจจุบัน (หรืออนาคต) ร่วมกัน อดีตบางคนอาจจะดีกว่าปัจจุบัน อดีตบางคนอาจจะเลวร้ายกว่าปัจจุบัน ซึ่งทุกเสี้ยวนาทีในอดีตก็ทำให้เรามีปัจจุบันอย่างที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ และก็ไม่มีใครกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีตมันได้
เราสนใจตรงที่ ตัวละครใน Sway แทบทุกตัวจะคิดถึงปัจจุบันและอนาคตมากกว่าใส่ใจอดีตของอีกฝ่าย (ยกเว้น เกรซ ที่ดูเหมือนจะมีปมกับอดีตเพราะคิดถึงแม่) เออ ซึ่งตามหลักแล้ว ชีวิตจริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เราจะไปคิดมากกับอดีตของเขาทำไม รู้แค่พอรู้และเข้าใจก็พอว่าเขาเป็นใครทำอะไรมาบ้าง ไม่ใช่ไปยึดติด ในเมื่อปัจจุบันเราอยู่ด้วยกันแล้ว แค่จัดการกับชีวิตปัจจุบันกับอนาคตกันและกันก็ยากพอแล้ว ยังต้องไปเพิ่มเรื่องของอดีตมาให้ปวดหัวอีกก็ใช่ที
ใน Sway เราได้พบว่า ในขณะที่โลกมันหมุนไปของมันทุกวัน วันวันนึงเราก็ได้เจอคนมากหน้าหลายตา การมีอยู่ของคนคนนึงในชีวิตเราในวันนี้ การได้อยู่ร่วมกัน…หรืออาจรวมถึงการแยกทางกันกับใคร… มันมีความพิเศษนะ มันไม่ใช่เพราะมันคือ “ทางเลือกได้” หรือ “ทางเลือกไม่ได้” ของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่มันคือ “การโคจร” ซึ่งอาจจะประกอบด้วย “แรงดึงดูด” และ “แรงโน้มถ่วง” ของดาวแต่ละดวง รึเปล่า
“แรงดึงดูด” ณ ที่นี้ เราหมายถึง ความฝัน แรงจูงใจ แรงผลักดัน ความอยากไปแสวงหาสิ่งใหม่ๆ หรือความอยากออกจากที่เก่าๆ เดิมๆ เช่น ความฝันของหนุ่มสาวที่อยากไปเรียนหรือตั้งต้นที่อเมริกา The Land of Opportunities (เออ แล้วกรีนการ์ดมึงล่ะ จะทำยังไง?) หรือสำหรับบางคน แรงที่ทำให้คนคนนึงย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ง่ายๆ แค่ จำเป็นต้องไป “ตามคนรัก” ก็เท่านั้น (เออ แล้วถ้าวันนึงมึงเลิกกันล่ะ จะทำยังไง?)
“แรงโน้มถ่วง” ณ ที่นี้ เราหมายถึง สิ่งที่เป็นตัวถ่วง สิ่งที่เหนี่ยวรั้ง สิ่งที่ยึดติด หรือบ่วงทั้งหลายแหล่ในชีวิต ที่ทำให้เราต้องอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้ หรือไม่อยากไปไหน เช่น ครอบครัว หน้าที่การงาน เงิน หรือกระทั่ง “อดีต” ของเราเอง (แหวนหมั้น/แหวนแต่งงานนี่เป็น symbolic ที่ดีมาก)
ซึ่งแต่ละดาวนั้นก็อาจจะมีแรงนั้นๆ มากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา และชีวิตก็คือการเดินทาง ตราบใดที่โลกเรายังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างเราๆ ก็ไม่มีอะไรแน่นอนตลอดไป
สิ่งสำคัญคือ เราจึงต้องพยายามหาดาวที่มีแรงสัมพันธ์กับเรา พยายามปรับสมดุลซึ่งกันและกัน พยายามสื่อสารกันตลอดเวลา (ขนาดดาวเทียมมันยังสื่อสารกันเองเลย ใช่มั้ย?) คิดดูสิ ถ้ามันมีดาวดวงใดดวงหนึ่งที่ได้แต่คล้อยตาม อีดาวที่ energy สูงมันจะลากอีดาว inert นั่นไปไหนนางก็ไปด้วย (เช่น ผู้ชายจะไปอเมริกา ผู้หญิงก็ไป แบบ… เออ ไปด้วยก็ได้) วันหนึ่งวันหน้า สิ่งที่ผูกดาวทั้งสองไว้นั้นมันอาจจะต้านแรงเสียดทานไม่ไหวจนขาดสะบั้นลงในที่สุดอยู่ดี
Sway ทำให้เราเห็นว่า ในทุกๆ ความสัมพันธ์ communication เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าดาวสองดวงจะอยู่กันได้อย่างมีความสุขหลายล้านปีแสง พวกเขาต้องสื่อสารกัน เพื่อไม่ให้เกิดความกล้ำกลืนฝืนทนหรือความเข้าใจผิดกันในอนาคต เช่น พ่อแม่ของอาเธอร์ที่แต่งงานกันมาทั้งชีวิต คู่ของคนไทยในเรื่องที่เพิ่งสร้างครอบครัวกันหมาดๆ หรือคู่ของคู่รักสองสัญชาติอย่างอแมนดากับอีริค เป็นต้น เพราะในความสัมพันธ์ หลายปัญหาก็เกิดจากการไม่คุยกันนี่แหละ
ในเบื้องต้น คู่อแมนดากับอีริค อาจดูเป็นคู่ที่น่าจะมีปัญหาในการคุยกันมากที่สุด เพราะมีพื้นฐานภาษาหรือวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่คู่นี้ก็ทำให้เราเห็นว่า หากทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเรียนรู้ภาษาของกันและกัน ความแตกต่างเรื่องภาษาจะไม่ใช่ปัญหาของความสัมพันธ์เลย เพราะบางคนคุยภาษาเดียวกัน (เช่น ภาษาไทยกับภาษาไทย) มันยังไม่เข้าใจกันเลย ทั้งนี้เพราะจริงๆ แล้ว มันไม่ได้สำคัญแค่ว่า “เราพูดภาษาอะไรกัน” แต่หากคือ “เราพยายามสื่อสารกันดีแล้วรึยัง”
โดยเฉพาะโลกปัจจุบัน การคุยกับคนคนละภาษาหรือการคุยกับคนคนละที่มันไม่ยากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ปัจจุบันโลกของเรามันก็เล็กนิดเดียวเองนะ เล็กแบบที่ว่า… ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถเชื่อมต่อกันได้ เพราะเรามีช่องทางมากมายให้พูดคุยกัน ทั้งโทรศัพท์ อีเมล สไกป์ หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ คือระยะทางมันไม่สำคัญอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ชีวิตคนเรามันไม่ง่ายและไม่แน่ไม่นอน ต่างคนต่างต้องโคจรของใครของมัน จุดหมายแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และคนเราก็เปลี่ยนแปลงกันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าใครหรืออะไรมันจะเป็นไปยังไงก็ปล่อยให้มันเป็นไป คือ ถ้าเขาจะไปก็ปล่อยเขาไป ถ้าเขาจะอยู่ก็ให้เขาอยู่
จำไว้ว่า ไม่ว่าใครจะอยู่ที่ไหน ถ้าคนมันอยากจะคุยกัน สุดท้ายมันก็หาทางเชื่อมต่อกันได้อยู่ดี แต่ถ้าคนมันจะไม่คุยกัน อยู่ใกล้กันแค่ไหน มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายมันก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี
Sway อาจจะไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เพราะมันไม่ได้ใส่เอฟเฟ็กต์อลังการหรือนักแสดงเล่นใหญ่แบบหนังแมสๆ ที่หลายคนชอบ แต่มันก็ไม่ได้เป็นหนังอินดี้ที่เข้าถึงยาก ตรงกันข้าม มันเป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตของเราทุกคน ที่มันโคตร “เรียล” แถมยังดีงามทั้งงานภาพและงานบท โดยรวมเราชอบเลยแหละ คะแนนตามความส่วนตัว 8/10
Sway เข้าฉายที่ไทยแบบจำกัดรอบ เฉพาะที่เมเจอร์ สาขาเอสพลานาดรัชดาฯ, เมเจอร์ สาขารัชโยธิน และ ที่ SF World ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม นี้เป็นต้นไป (เรท: น 18+)
พูดเลยว่า ถ้าใครสนใจ ไม่ควรรอคิดเยอะ เพราะหนังมันเข้าฉายน้อยโรงน้อยรอบ และน่าจะโดนถีบออกจากโรงเร็ว (อาจอยู่ได้แค่วีคเดียวด้วยซ้ำ เพราะวีคต่อมา Star Wars ก็จะมายึดครองโรงพอดี) และไม่รู้จะมีแผ่นออกมาขายมากน้อยแค่ไหน เพราะ Sway ไม่เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ทั่วไปที่ต่อให้เราพลาดในโรง เรายังรอดูแผ่นได้ไม่ยาก เนาะ
ติดตามรายละเอียดและอัปเดตข่าวสารภาพยนตร์เรื่อง Sway ได้ที่ https://www.facebook.com/SwayMovieOfficial/

28 comments