Silence เป็นหนึ่งในหนังเข้าชิงออสการ์เมื่อต้นปี 2017 ที่เราต้องเก็บตกอยู่แล้ว พอทางค่าย Mono Film นำเข้ามาฉายในไทย (17 ส.ค. 2017) เราจึงรีบตีตั๋วไปดูเองทันที เสียดายที่คืนที่เราไปดูหนังเรื่องนี้ เราต้องลุยฝนไปโรงหนังสกาล่า และในโรงก็แอร์หนาวมาก แล้วหนังก็ยาวอีก (ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที) ทำให้สมาธิของเราหลุดเกือบตลอดเวลา บล็อกนี้จึงอาจเล่าถึงหนังได้ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่ แต่จะเล่าพอสังเขปให้ผู้อ่านประกอบการตัดสินใจดู
Silence เป็นผลงานการกำกับของ Martin Scorsese ผู้กำกับรางวัลออสการ์วัย 74 ปี (จาก The Departed, Hugo, The Wolf of Wall Street, Goodfellas, The Aviator, Shutter Island ฯลฯ) โดยเรื่องนี้เขาใช้เวลาเตรียมการนานมากนับตั้งแต่เขาอ่านนิยายต้นฉบับ Chinmoku (1966) ของ Shûsaku Endô นักเขียนชาวญี่ปุ่นที่เป็นคริสเตียน และเป็นหนังที่ถ่ายภาพ landscape งดงามจริงสมกับที่เข้าชิงออสการ์สาขาการถ่ายภาพยอดเยี่ยม
เรื่องราวของเรื่อง Silence เกิดที่ประเทศญี่ปุ่นช่วงยุค 1640s เป็นต้นไป ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาอื่นนอกจากศาสนาพุทธเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะทางการเกรงจะส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ มิชชันนารีและชาวคริสต์ทั้งหลายจึงถือเป็นพวกนอกรีตหรือนอกศาสนา (outlaws) ต้องถูกกวาดล้างให้สิ้นซากอย่างโหดร้ายทารุณ

หนังบอกเล่าเกี่ยวกับการเดินทางของนักบวชชาวโปรตุเกส Father Sebastião Rodrigues (Andrew Garfield จาก The Amazing Spider-Man, The Social Network, Hacksaw Ridge) กับ Father Francisco Garrpe (Adam Driver จาก Star Wars: The Force Awakens) ที่ออกไปตามหา Father Cristóvão Ferreira (Liam Neeson จาก Taken, Star Wars: Episode I) เมนเทอร์ของพวกเขาที่สูญหายไปขณะไปทำภารกิจเป็นมิชชันนารีเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่ประเทศญี่ปุ่น
ถึงแม้คนดูอย่างเราอาจจะติดภาพจำคาแรกเตอร์เกรียน ๆ ของเขาใน The Amazing Spider-Man แต่กับเรื่องนี้ เราก็ยังยอมรับว่าการแสดงหนังดราม่าของ Andrew Garfield นั้นเหนือชั้นกว่าที่คาด (แต่ก็ไม่แปลกใจมาก เพราะเคยเห็นการแสดงขั้นเทพของเขาใน Hacksaw Ridge เมื่อต้นปีมาก่อนด้วยแล้วครั้งหนึ่ง) ส่วนนักแสดงอาวุโสอย่าง Liam Neeson อาจไม่ได้ออกเยอะแยะมากมายเท่ากับหน้าของเขาที่โชว์หรายิ่งใหญ่อยู่บนโปสเตอร์ แต่การแสดงน้อยแต่มากทางแววตาของเขาก็ทำให้เราจดจำเขาได้เหมือนกัน

นอกจากนักแสดงนำจากฝั่งฮอลลีวู้ดทั้งสามคน ที่เหลือก็เป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย ที่โดดเด่นก็จะมี Yôsuke Kubozuka หรือ Kichijiro ที่เล่นเป็นคนญี่ปุ่นชาวคริสต์ที่ยอมเหยียบรูปพระเยซูดีกว่ายอมถูกทหารฆ่าตาย กับ Issei Ogata ที่เล่นเป็นเจ้าเมืองผู้ว่าการ
ตอนดูในโรงเราก็จะสบถกร่นด่าญี่ปุ่นไปหลายครั้งมากว่า “ใจร้าย” / “ป่าเถื่อน” / “ไร้อารยธรรม” เพราะเขาให้ประชาชนที่ต้องสงสัยว่านับถือคริสต์มาทดสอบโดยการเหยียบแผ่นหินสลักภาพพระเยซูและถ่มน้ำลายรดไม้กางเขน หากไม่ทำก็จะถูกจับไปทรมานทรกรรมจนกว่าจะยอมทำ หรือไม่ก็ตายกันไปข้าง
แน่นอนว่าวิธีการที่ญี่ปุ่นทำในสมัยนั้นมันโหดร้ายสำหรับเราซึ่งเป็นคนสมัยนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าให้มองอย่างเป็นกลาง เราก็ไม่ได้มองว่าหนังเรื่องนี้ชาติญี่ปุ่นเป็นชาติชั่วหรือตัวร้ายอะไรของหนังนะ เพราะหนังเขาก็นำเสนอเรื่องราวตามความจริง (ที่หนังสือเล่า) อย่างไม่อคติ สิ่งที่ญี่ปุ่นพูดถึงศาสนาคริสต์มันก็ไม่ผิด ญี่ปุ่นเป็นชาตินิยม เป็นประเทศที่เหมือนบึง จะหว่านอะไรลงไปปลูก รากมันก็เน่า (ปัจจุบันมีประชากรญี่ปุ่นนับถือคริสต์เพียงประมาณ 1.5% ของประชากรทั้งหมด)

ซีนที่พระเอกซึ่งเป็นนักบวชที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้าถกเถียงกับคนที่ไม่ศรัทธาในคริสตจักรหรือกระทั่งคนที่หมดศรัทธาแล้วกับคริสตจักร เป็นหนึ่งในซีนที่ดีที่สุดสำหรับเรา บทสนทนาของพวกเขาทำให้เราได้ครุ่นคิดตามในหัวและตั้งคำถามตลอดเวลา
ตามหลักเราเป็นคนนับถือพุทธ (ถึงแม้ในเชิงปฏิบัติจะเหมือนคนไร้ศาสนาก็ตาม) เราเห็นด้วยกับตัวละครในหนังกับแนวคิดและคำสอนของแต่ละศาสนาของเขา เราว่าต่างก็ดีในแบบฉบับของตนเองกันทั้งนั้น เพียงแต่วิธีการปฏิบัติบางอย่างอาจจะขัดต่อตัวตน ความคิด ความรู้สึก ผลประโยชน์ หรืออะไรก็ตามก็คนที่อยู่คนละศาสนา

แต่ที่เรารู้สึกว่ามันน่าขันกว่าคือ คนที่บอกว่าตนเองมีศาสนา นับถือนั่น นับถือนี่ เค้าเหมือนไม่ได้ศรัทธามันด้วยใจ พวกเขายังคงเห็นแก่ตัวและทำร้ายคนอื่น มันเหมือนพวกเขาเพียงแค่ต้องการอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจในชีวิตที่ว่างเปล่าของพวกเขา หรือมีที่ไว้ให้เขาสารภาพบาปเวลาทำผิดมา ด้วยหวังว่า… แค่ได้สารภาพบาป สิ่งไม่ดีที่เพิ่งทำไป มันจะถูกชะล้างหมดไปจริง ๆ ได้ดั่งใจ
ฝ่ายของพระเอกพูดบ่อย ๆ ถึงคำว่า faith หรือ ศรัทธา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวใจของเรื่อง Silence อย่างเห็นได้ชัด เราจะเห็นในช่วงแรก ๆ ของหนังเลยว่าหลายคนยึดติดกับสัญลักษณ์ ตัวแทน หรือวัตถุ เช่น ไม้กางเขน หรือลูกประคำ ว่ามีพวกนี้แล้วเหมือนมีพระเจ้าอยู่ใกล้ตัว ทั้งที่ที่จริงแล้ว ศรัทธามันควรอยู่ที่ใจมากกว่า
เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขายึดติดกับวัตถุที่ใช้แทนพระเจ้าและศรัทธาของพวกเขาไปแล้ว พอถูกบังคับให้เหยียบรูปพระเยซูหรือถ่มน้ำลายใส่ไม้กางเขน พวกเขาเลยไม่ทำกัน ด้วยกลัวว่าคนอื่นหรือพระเจ้าจะมองว่าตัวเขาหมดศรัทธาแล้ว ทั้งที่ที่จริงแล้ว ของพวกนี้มันอยู่ที่ใจแท้ ๆ

Silence เข้าฉาย 17 ส.ค. 2017
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
48 comments
Comments are closed.