“นี่คือหนัง Fantastic Four ที่ดีที่สุด!”
พูดแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยก็คงเชื่อว่า เราไม่ได้โม้
แต่ถ้าคุณคิดว่า บาร์เก่าเขาทำไว้ต่ำเกินไป
งั้นเราขอพูดใหม่ว่า “นี่เป็นหนังมาร์เวลที่ดีที่สุดแห่งปี!”
จุดแข็งของ The Fantastic Four: First Steps คือ
1. บทและไดอะล็อก
2. แคสติ้ง เคมีนักแสดง
3. world-building กับสไตล์ 1960s retro-futurism
และ 4. ฉาก mid-credit
✍️ A Strong Script Makes All the Difference
หัวใจหลักของ FF หรือ F4 เวอร์ชั่นนี้คือ “ครอบครัว” และ “ความเป็นมนุษย์”
แทนที่จะโฟกัสแต่ฉากแอ็คชั่นหรือโชว์พลังอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ จนตัวละครขาดมิติ FF เลือกลงทุนกับการสร้างคาแรกเตอร์ให้มีเสน่ห์ และไดอะล็อกที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ ที่ไม่ได้แค่โชว์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับตัวละคร แต่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับคนดูด้วย
ซึ่งบทกับไดอะล็อกที่เขียนมาอย่างดีนี้คือหัวใจสำคัญของการรีบูตและการเปิดเฟสใหม่อย่างยั่งยืน
⚠️ Preparedness as a Superpower
เราชอบการตั้งใจนำเสนอประเด็น “กันไว้ดีแก้” ที่เราไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในหนังซูเปอร์ฮีโร่ (อาจเพราะเดี๋ยวมีภัยน้อยหรือภัยไม่ร้ายแรง แล้วฮีโร่จะไม่ได้ออกงาน)
ใน FF นี้ เราจะเห็น warning systems อยู่แทบทุกบริบทตลอดเรื่อง เช่น สัญญาณเตือนเมื่อเอเลี่ยนมา สัญญาณเตือนไฟไหม้ สัญญาณเตือนอ็อกซิเจน สัญญาณเตือนว่าลูกตื่น ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับประเด็น “parenting” อย่างมีลูกเมื่อพร้อม และ prevention is better than cure.
นอกจากจะเห็นประเด็นดังกล่าวได้ชัด จากซีนที่ทั้งสี่เตรียมตัวรับมือกับงานราษฎร์งานหลวงในบ้านหลังจากตรวจพบว่า Sue ตั้งครรภ์ โดยอ้อม เราจะได้เห็นการเตรียมตัวตั้งรับการมาเยือนของ Galactus (Ralph Ineson) หลังจากทูตสาว Silver Surfer (Julia Garner) มาส่ง notification แจ้งเตือนล่วงหน้ากลางนิวยอร์กไทม์สแควร์
หนังย้ำเตือนว่า เราต่างรับรู้ล่วงหน้าก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิด และเรามีทางเลือกเสมอที่จะเตรียมพร้อมหรือตั้งรับกับมัน
🧠 Selfish or Just Human?
อีกประเด็นที่เราชอบคือ ประเด็น “ความเห็นแก่ตัว” และ “สังคมวิพากษ์”
ตอนที่ประชาชนรู้ว่า แก๊งฮีโร่ในดวงใจของพวกเขาไม่ยอมเอาชีวิตลูกของพวกเขา ซึ่งเป็นทารกแรกเกิด ไปแลกกับโลก ตามที่ตัวร้ายต้องการ สังคมก็ตัดสินว่า แก๊งนี้เห็นแก่ตัว ห่วงแต่ลูกหลานตัวเอง
แต่หนังหาทางลงให้กับการตีความคำว่า ความเห็นแก่ตัว นี้ได้ดี และพาคนดูมองอีกมุมนึงว่า… มันใช่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดหรือเปล่า มันคือการเสียสละจริงหรือ หรือแค่อีกรูปแบบหนึ่งของความเห็นแก่ตัว เพราะการเสียสละครั้งนี้ก็อาจนำพาไปสู่การสูญเสียของคนอื่นอีกมากมายต่อไปได้อยู่ดี…
สุดท้าย มนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
🌟 Four Stars from Four Hit Shows
การบาลานซ์ 4 ตัวละครหลักให้เป็นที่รักและที่จดจำของคนดูได้เท่า ๆ กันในเวลาจำกัดเพียง 2 ชั่วโมงเป็นเรื่องท้าทาย แต่ FF ทำได้ หนังออกแบบตัวละครและนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ:

- The Thing หรือ Ben มนุษย์หินกลิ้งที่ภายนอกเป็นหินแกร่งแต่ภายในดูซอฟต์และอบอุ่น
- Johnny Storm มนุษย์ไฟบินได้ ที่ฉลาดและใส่ใจกว่าที่เห็น
- Sue Storm ที่เป็นฮีโร่หญิงแกร่งที่มีพลังล่องหน เป็นคุณแม่มือใหม่ที่พร้อมสู้เพื่อลูกและเพื่อโลก พร้อมกับเป็นเมียและพี่สาวสายซัพฯ อีกด้วย
- และสุดท้าย Mr. Fantastic หรือ Reed Richards เนิร์ดที่มีพลังพิเศษยืดได้หดได้ ร่างกายยืดหยุ่นแต่นิสัยไม่ยืดหยุ่น ยึดติดความเป๊ะ โลจิก ทฤษฎี หรือกระทั่ง to-do list นั้น
ถึงแม้รวม ๆ จะแอบคล้าย The Incredibles ไปหน่อย แต่ด้วยบทหนังมันมาอยู่ในมือนักแสดงที่ใช่ มันก็ไม่เป็นปัญหา ซึ่ง FF คือการรวมดาวจาก 4 ซีรีส์คุณภาพ ทั้งสี่คนมี star power และมีเคมีเคใจที่เข้ากันสุด ๆ:
- Pedro Pascal (จาก The Last of Us) เป็น Reed Richards
- Vanessa Kirby (จาก The Crown) เป็น Sue Storm
- Joseph Quinn (จาก Stranger Things) เป็น Johnny Storm
- Ebon Moss-Bachrach (จาก The Bear) เป็น Ben หรือ The Thing
💥 Action Meets Heart
เมื่อตัวเอกเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่ถึงแม้จะมีซูเปอร์พาวเวอร์ก็ตาม ยังไงมันดูเสียเปรียบอยู่มากที่จะไปต่อกรกับตัวร้ายที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าไททันได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยอย่างในการ์ตูน การทำฉากแอ็คชั่นให้ออกมาสนุกและน่าเชื่อถือภายใต้ข้อจำกัดนี้นั้นมันไม่ง่ายเลย แต่ก็ถือว่า FF เขาทำได้ไม่แย่ และก็ถือว่าใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีได้ถูกต้อง เพราะตัวร้ายสเกลยักษ์แบบนี้ ก็คู่ควรแล้วแหละกับการถ่ายทำเพื่อโรง IMAX โดยเฉพาะ
🏙️ Retro-Futurism Done Right
อีกสิ่งที่เราชอบมากคือ การออกแบบ world-building กับสไตล์ 1960s retro-futurism ทั้งแฟชั่น ทรงผม และตึกรามบ้านช่อง ฯลฯ มันให้ฟีลย้อนยุค แต่ก็ดูมาจากโลกอนาคต มันคือความคอนทราสต์ที่ลงตัว
โดยส่วนตัวเราไว้ใจเรื่องเรโทรของ Matt Shakman ระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนกำกับซีรีส์ WandaVision ทั้งเรื่อง (ยังไม่นับที่ได้กำกับซีรีส์ตัวท็อปอย่าง Game of Thrones และ Succession ด้วยนิดหน่อย) แต่พอได้ดู FF เต็มก็คือเขาทำได้เกินความคาดหวังเราไปอีก
🔚 Final Thought & Post-Credit Treat
โดยรวม FF อาจไม่ได้ดีระดับขึ้นหิ้ง แต่ก็โอเคสำหรับการส่งต่อไป Avengers: Doomsday และเรามั่นใจว่า หนังมันดีมากพอที่จะยืนกรานว่า “นี่คือหนัง Fantastic Four ที่ดีที่สุด!” และ “เป็นหนังมาร์เวลที่ดีที่สุดแห่งปี!”
มีฉากท้ายเครดิต 2 ตัว โดยส่วนตัวคิดว่า รอดูแค่ตัวแรกก็พอ ตัวนี้ว้าวอยู่ แฟนมาร์เวลกรี๊ดแน่นอน