“คนบางคนผ่านเข้ามา เปลี่ยนชีวิตเราตลอดกาล
แต่ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป”
นางเอกป่วยเป็นโรคหายาก… โรคเซลล์ผิวหนังไวต่อแสงแดดผิดปกติ หรือ Xeroderma Pigmentosum (XP) ทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ในเวลากลางวัน และนั่นก็เป็นม่านกำบังที่ทำให้เธอไม่กล้าฉายแสงอันเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ด้านการร้องและแต่งเพลงอย่างเต็มศักยภาพ และไม่กล้าที่จะเข้าหาชายหนุ่มที่เธอแอบรักมานานแรมปี
นี่คือพล็อต Midnight Sun: กลางคืนตลอดกาล กลางใจตลอดไป หนังเกาหลีที่รีเมคมาจากต้นฉบับ Song to the Sun เวอร์ชั่นญี่ปุ่น และ Midnight Sun (2018) เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด ที่แสดงนำโดย Patrick Schwarzenegger (จาก The White Lotus Season 3) ซึ่งเป็นการรีเมคที่เรียกว่า “รีเมคจริง ๆ ไม่ใช่ก๊อปวาง“
โรค Xeroderma Pigmentosum (XP) เป็นโรคความผิดปกติทางพันธุกรรมที่หาได้ยาก และยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด โดยผู้ป่วยจะปราศจากเอ็นไซม์ที่ใช้ในการซ่อมแซม DNA ที่ได้รับความเสียหายจากแสงแดด ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังถูกทำลายจนไม่สามารถคืนกลับสู่สภาพเดิม และมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าคนปกติถึง 20,000 เท่า ผู้ป่วยจึงสามารถออกนอกบ้านได้อย่างปลอดภัยเฉพาะในเวลากลางคืน พวกเขามักถูกเรียกว่า ‘ทารกเที่ยงคืน’ (Midnight Children), ‘เด็กน้อยแห่งความมืด’ (The Children of the Dark), ‘เด็กน้อยรัตติกาล’ (The Childen of the Night) หรืออย่างหยาบคายก็คือ ‘ทารกแวมไพร์’ (Vampire Children) และที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยมีชีวิตเฉลี่ยเพียงไม่เกิน 21 ปี

ในฐานะที่เคยดูเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดมาก่อน ต้องบอกว่า Midnight Sun เวอร์ชั่นเกาหลีนี้ ไม่ใช่แค่ปรับบริบทให้เข้ากับยุคสมัย social media ได้ดี แต่ยังทำหนังออกมาได้ เข้าถึงง่ายกว่าเดิม ด้วยการสอดแทรกความน่ารัก ความตลก และเคมีของพระนางที่ทำให้หนังเอียงมาทาง rom-com มากกว่าดราม่าหนัก ๆ (แต่พอถึงจุดที่ต้องดราม่า ก็หน่วงเอาเรื่องเหมือนกัน) โดยที่ยังใช้ความสามารถทางดนตรีของนางเอกเป็นตัวดำเนินเรื่อง
สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ การสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ป่วย แต่สำหรับทุกคนที่เกิดมาพร้อมข้อจำกัด ความกลัวหรือความไม่มั่นใจ เช่น กลัวจะถูกสังคมตัดสิน ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่ได้ใช้เวลาอันจำกัดในชีวิตอย่างมีความหมาย
หนังไม่ได้พูดถึงแค่ “แสงอาทิตย์” ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่เราอาจควบคุมไม่ได้ แต่หนังเน้นพูดถึงว่า เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อม “แสงข้างในตัวเรา” ที่เราสามารถส่องแสงเล็ก ๆ ส่องนำทางให้กับตัวเอง หรือบางครั้งอาจมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตเรา ทำให้เราเห็นแสงสว่างในความมืดมิด เช่นเดียวกันกับที่เรา ก็สามารถเป็นแสงเล็ก ๆ ให้กับคนอื่นได้ เช่น คนที่รักเราหรือคนรอบตัว ถึงแม้ว่าเราอาจไม่สามารถส่องสว่างให้ถึงทุกคนได้ แต่บางที… แสงเล็ก ๆ ของเราอาจสร้างแรงบันดาลใจหรือเปลี่ยนชีวิตใครสักคนได้แม้เพียงหนึ่งคน แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว
และอีกด้านหนึ่งของแสงสว่างก็คือความมืด… ที่เราต้องยอมรับว่า… เราต่างมีใครสักคนในชีวิต ที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านเข้ามา เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล แต่ไม่สามารถอยู่กับเราตลอดไป
Midnight Sun จึงเป็นมากกว่าหนังรัก หรือหนังรอมคอม แต่มันคือหนังที่ชวนให้เราตั้งคำถามว่า:
เรากำลังใช้ชีวิตของเราคุ้มค่าแค่ไหน?
เรากำลังรอให้แสงจากพระอาทิตย์มากำหนดชีวิตเรา…
หรือเราจะกล้าลุกขึ้นมาเปล่งประกายในแบบของเราเอง?