KWANMANIE
  • Home
  • Courses
    • All Courses
    • Essay Course for Admissions
    • Private Essay Course
    • SOP & Essay Editing Service
  • Films
    • Movie Reviews
    • Series
  • Books
    • Nonfiction
      • Self Improvement Books
      • Relationship Books
    • Fiction
  • Lifestyle & Perspective
    • Fashion & Beauty
    • Food & Restaurant
    • Plants
    • Productivity
    • Thoughts
    • Travel
    • Misc.
  • Study
    • How to Write a Statement of Purpose (SOP)
    • English Writing
    • General
  • About Me
    • Where to Find Me
Follow
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram
  • Pinterest
  • YouTube
Social Links
Instagram 5K Follow
Twitter 11K Follow
Facebook 10K Like
YouTube 7K Subscribe
TikTok
KWANMANIE
Follow
Follow
Like
Subscribe
KWANMANIE
  • Home
  • Courses
  • Films
    • Movie Reviews
    • Series
  • Books
    • Nonfiction
    • Fiction
  • Lifestyle & Perspective
    • Fashion & Beauty
    • Food & Restaurant
    • Plants
    • Productivity
    • Thoughts
    • Travel
    • Misc.
  • Study
  • About Me
    • Where to Find Me
  • Self Improvement Books
  • Relationship Books
  • Films
  • Movie Reviews

รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny

  • June 29, 2023
  • kwanmanie
Total
0
Shares
0
0
0

Harrison Ford เป็น Indiana Jones ครั้งแรกเมื่อปี 1981 ตามด้วยภาค 2 และ 3 ในปี 1989 และ 1995 ตามลำดับ ก่อนที่แฟรนไชส์จะถูกชุบฟื้นคืนชีพอีกครั้งเมื่อปี 2008 และ ณ ตอนนั้น เหมือนมีท่าทีจะส่งบทต่อให้ Shia LaBeouf ผู้รับบทเป็นลูกชายของ Dr. Jones แต่เส้นทางในฮอลลีวู้ดของ Shia LaBeouf ไม่เรียบง่ายนัก แฟรนไชส์จึงเงียบหายไปอีก 15 ปี กว่าจะมี Indiana Jones and the Dial of Destiny ซึ่งไร้เงา Shia LaBeouf เกือบแทบสิ้นเชิง

ตัวละครของ Shia LaBeouf ปรากฏตัวครั้งแรกในภาค The Kingdom of the Crystal Skull ซึ่งเรื่องราวถูกเซตอยู่ในปี 1957 ถูกพูดถึงเพียงผ่าน ๆ ว่า ไปเป็นทหารและตายในสงครามเวียดนาม ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1955-1975 พอดี

ส่วนภาค The Dial of Destiny นี้ ดำเนินเรื่องตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 1969 ซึ่งเป็นวันที่ชาติอเมริกาเฉลิมฉลองที่ส่งคนไปเดินบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ โดยมี Jürgen Voller (Mads Mikkelsen จาก Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันเป็นมันสมองสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในหน้าประวัติศาสตร์นี้

ในปี 1944 Dr. Voller เคยเป็นนาซี และเคยปะทะกับ Dr. Jones มาก่อน เพราะตอนนั้น Jones กับ Basil Shaw (Toby Jones) เพื่อนของเขา ไปตามล่าหาของโบราณที่พวกนาซีจะฉกชิงไป โดยหนังก็ใช้เทคโนโลยี De-aged และฉายฉากในอดีตนี้ให้ดูกันจุก ๆ ยาว ๆ ในซีนเปิดเรื่อง 20 นาทีแรก ก่อนจะตัดมาที่ปี 1969 ซึ่ง Jones กำลังอยู่วัยเกษียณ และ Marion (Karen Allen) ภรรยาของเขาก็ขอให้เขาเซ็นใบหย่า

ในขณะที่ Jones กำลังใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างโดดเดี่ยว สิ้นหวัง และไร้เป้าหมาย Helena Shaw (Phoebe Waller-Bridge จาก Solo: A Star Wars Story) ลูกสาวของ Basil Shaw และเป็นลูกบุญธรรมของเขา ก็เข้ามาในชีวิตเขาอีกครั้งในรอบ 18 ปี และทำให้เขาต้องออกล่าโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของ อาร์คิมิดีส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ซึ่ง Dr. Voller เองก็กำลังตามหาของสิ่งนี้อยู่เช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่ามันมีพลังพิเศษ ทำให้เขาชนะกาลเวลาได้ และเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ได้!

สงครามมักจะเป็นหนึ่งในธีมสำคัญของแฟรนไชส์มาโดยตลอด เแต่พอผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้นำโลกส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เน้นสงครามสู้รบที่ต้องส่งคนไปล้มตายกันเยอะ ๆ แบบแต่ก่อนแล้ว ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นสงครามช่วงชิงความเป็นหนึ่งในด้านวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีแทน เช่น อวกาศ ซึ่ง ณ เวลาในเรื่องนี้ Dr. Voller เขามองว่าเขาได้พิชิตไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาจึงหันไปสนใจเรื่องใหม่อย่างการเดินทางข้ามเวลาแทน

Indiana Jones and the Dial of Destiny เป็นภาคแรกของแฟรนไชส์ที่ไม่ได้กำกับโดย Steven Spielberg โดยภาคนี้กำกับโดย James Mangold (จาก Logan และ Ford v Ferrari) ทำให้ Indiana Jones ในภาคนี้ มีความแตกต่างจากภาคก่อน ๆ เล็กน้อย แต่ก็พยายามรักษากลิ่นอายและซิกเนเจอร์ของแฟรนไชส์ไว้อยู่ เช่น ฉากแอ็คชั่นซิ่งรถไล่ล่า และการแกะรอยหาขุมทรัพย์ เราชอบมู้ดแอนด์โทน เช่น การย้อมสี การจับคู่สี และคอสตูม มาก ๆ และก็รู้สึกว่าหนังมีประเด็นความเป็นมนุษย์ชัดเจนขึ้น แต่ก็คิดว่า ตัวละครบางตัวยังขาด ๆ เกิน ๆ และมีตัวละครเยอะเกินความจำเป็นไปบ้าง ข้อติติงที่สำคัญที่สุดของหนัง สำหรับเรา เราคิดว่าหนังมีความยาวและยืดเยื้อในบางช่วงไปหน่อย แล้วก็ไปรวบรัดตัดจบในช่วงท้ายอย่างเร่งรีบจนเกือบเหมือนงานเผา (หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 34 นาที) แต่โดยรวม มันก็ยังเป็นหนังที่ดูได้เรื่อย ๆ ตามสไตล์ Indiana Jones

Indiana Jones and the Dial of Destiny เป็นแฟรนไชส์หนังแอ็คชั่นรุ่นคุณปู่ที่พยายามจะปรับตัวและรักษาที่ยืนในโลกยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งสำหรับเรา ถึงแม้มันจะไม่ได้รวดเร็วฉับไวทันใจแบบที่คนรุ่นใหม่คุ้นชินนัก แต่มันก็ยังมอบความบันเทิงได้อยู่และมีความตั้งใจสร้างเพื่อปิดจ็อบ Harrison Ford กับบทบาท Indiana Jones ที่อยู่เป็นคู่บุญเขามา 5 ภาค 42 ปี อย่างสมศักดิ์ศรี

kwanmanie
8/10
Total Score

Share this:

  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window)

Related

Total
0
Shares
Share 0
Tweet 0
kwanmanie

Movie Blogger | Essay Tutor

Trending Posts
  • Homepage
    Homepage
  • รีวิว Flow:  ลอยไปกับแมว
    รีวิว Flow: ลอยไปกับแมว
  • รีวิว F1 The Movie: ทำเพื่ออะไร?
    รีวิว F1 The Movie: ทำเพื่ออะไร?
  • รีวิว อาบัติ
    รีวิว อาบัติ
  • ทำความรู้จักกับหนัง exotic ทั้ง 4 ประเภท ของกระเป๋าแบรนด์ S'uvimol
    ทำความรู้จักกับหนัง exotic ทั้ง 4 ประเภท ของกระเป๋าแบรนด์ S'uvimol
Follow Me
  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter
  • YouTube
Contact
Bangkok, Thailand
LINE ID: @kwanmanie
kwanmanieisworking@gmail.com
ABOUT KWANMANIE

ขวัญ จบอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เป็นบล็อกเกอร์ ชอบดูหนัง อ่านหนังสือ ซื้อกระเป๋า เลี้ยงแมว เลี้ยงต้นไม้ และเป็นติวเตอร์ เน้นสอน Essay Writing

KWANMANIE
  • Home
  • Courses
  • Films
  • Books
  • Lifestyle & Perspective
  • Study
  • About Me
Movie Blogger | Essay Tutor

Input your search keywords and press Enter.