ในขณะที่หนังหลายเรื่องที่เป็นภาคต่อจากหนังฮิตในยุคก่อนมัก “แป้ก” แต่ Freakier Friday ภาคต่อของ Freaky Friday (2003) หนังสลับร่างแม่ลูกในตำนาน กลับปังและสนุกกว่าภาคแรกแบบคูณสอง!
สำหรับการกลับมาหลังห่างจากภาคแรกถึง 22 ปี ถือเป็นเป็นช่วงเวลาที่พอดี สมเหตุสมผล และสมบูรณ์แบบ เพราะตัวละครหลักได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ชีวิตมีการเปลี่ยนบทบาท และโลกภายนอกก็เปลี่ยนแปลงไปมากพอที่จะทำให้หนังมีเรื่องราวหรือมิติใหม่ ๆ มานำเสนอคนดู
Anna (Lindsay Lohan ผู้เพิ่งคัมแบ็กอย่างเต็มตัว) จากวัยรุ่นขาร็อกในภาคแรก กลายเป็นคุณแม่ Gen Y ที่ต้องรับมือกับลูกสาว Gen Z ของตัวเอง ส่วน Tess (Jamie Lee Curtis ผู้เพิ่งชนะออสการ์อย่างงง ๆ) ก็เลื่อนขั้นเป็นคุณยาย ที่คอยซัพพอร์ตลูกสาวซึ่งเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วน Jake (Chad Michael Murray) พระเอกจากภาคแรก ก็ยังกลับมาช่วยสร้างสีสันนิดหน่อย
ตัวละครใหม่ของภาคนี้ นอกเหนือจาก Harper (Julia Butters) ลูกสาววัยทีนของ Anna แล้ว ก็ยังมี Eric (Manny Jacinto) แฟนใหม่ของ Anna ซึ่งก็มีลูกสาววัยทีนติดมาหนึ่งคนคือ Lily (Sophia Hammons) และแน่นอน Harper กับ Lily ก็เป็นคู่กัดกันชนิดไม่มีใครยอมใคร
Freakier Friday ยังใช้สูตรสำเร็จเดิมจากภาคแรก แต่เพิ่มความสนุกเข้มขึ้นขึ้นแบบดับเบิ้ลช็อต ทั้งความตลกและดราม่า จากเดิมที่สลับร่างแค่ Tess กับ Anna แต่ภาคนี้ สลับไปเลย 4 ร่าง 3 รุ่น ตอนแรก ๆ เราเองก็แอบงง ๆ เล็กน้อยกับการสลับร่างของ 4 สาว แต่พอเครื่องติดแล้ว มันกลายเป็นหนัง coming-of-age ที่โคตรสนุกสุด ๆ ในรอบหลายปี และทำให้เราหัวเราะลั่นโรงได้แบบที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้ว
มุกตลกเกี่ยวกับความต่างระหว่างเจนเนอเรชั่นดูผ่านการรีเซิร์ชมาอย่างดี เข้าใจ pain points และข้อดีข้อเสียของแต่ละช่วงวัย รู้ว่าควรเล่นแต่ละมุกมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้ไม่ดู “เหยียด” หรือเกินพอดี หนังทำให้เรารู้สึก ตระหนักรู้ หรือมีมุมมองใหม่ว่า สิ่งที่แต่ละวัยเจอ มันไม่ใช่ทั้ง “ปัญหา” หรือ “เรื่องตลก” แต่คือ “เรื่องปกติ” ของมนุษย์ที่ทุกคนต้องผ่าน
Freakier Friday จึงเป็นหนังคอเมดี้ที่ตลกดีมีสาระ แถมสนุกมาก เป็นหนังครอบครัวที่เหมาะสำหรับวันแม่ เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ที่จะได้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ได้เข้าใจคนต่างเจนฯ มากขึ้น และเห็นคุณค่าของช่วงวัยของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น