Eternity หนังรักสามเส้าเรื่องล่าสุดจากค่าย A24 เป็นแนวรอมคอม แต่เป็นหนังที่ทำให้เราทั้งยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งโจทย์รักในหนังก็ยากไม่แพ้หนังดราม่าหนัก ๆ เพราะมันคือการเลือกว่าจะใช้ eternity หรือ “ชั่วนิรันดร์” กับใคร ซึ่งจะเป็นคนที่อยู่กับเราแบบ forever ever after จริง ๆ ไม่ใช่แค่ “รักตลอดไป” ที่มนุษย์ใช้พูดกันพร่ำเพรื่อ
ในหนัง สองสามีภรรยา Joan (Elizabeth Olsen จาก WandaVision) กับ Larry (Miles Teller จาก Whiplash) ที่อยู่กินกันมา 65 ปี เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเขาต้องเลือกว่า จะไปใช้ชีวิตหลังความตายชั่วนิจนิรันดร์ที่โลกใบไหน แต่ปัญหาคือ Joan ได้พบกับ Luke (Callum Turner จาก Emma) รักแรกของเธอที่ตายในสงคราม และอยู่รอเธอที่นี่มาถึง 67 ปี
สิ่งที่ต้องชมคือ การครีเอท world building ที่ชวนตื่นตาตื่นใจ นักแสดงนำก็เล่นดีมากทุกคน โดยเฉพาะ Miles Teller กับ Elizabeth Olsen ที่เล่นได้เชื่อว่าเป็นคนที่ข้างในแก่มาก ๆ แล้วจริง ๆ และ Da’Vine Joy Randolph นักแสดงออสการ์จาก The Holdovers ที่เล่นเป็น Anna ผู้ช่วยของ Larry ก็ขโมยซีนได้ทุกตอนจริง ๆ
“I don’t know how you compete with a memory,”
โชคดีที่หนังค่อนไปทางฟีลกู๊ด เราจึงไม่หงุดหงิดมากที่นางเอกไม่ยอมเลือกอยู่คนเดียวสวย ๆ ให้เป็น role model ของคนยุคใหม่ แต่สารภาพว่าดูแล้วเฮิร์ตเหมือนกัน เพราะตอนแรกเข้าโรงไปด้วยฟีลลิ่งว่า “ฉันเป็นนางเอก ฉันสวยเลือกได้” แต่สรุป ดูไปดูมา “อ้าว กูเป็นคนที่นางเอกไม่เลือก” ร้องไห้เหมือนหมา
โดยส่วนตัว ซีนที่ทำให้เราร้องไห้ซีนแรกคือ โมเมนต์ที่นางเอกตื่นรู้ว่าใครคือคนที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุด มันเชื่อมโยงมายังชีวิตจริงของเราที่ทำให้เราฉุกคิดเช่นกันว่า เออ… ใครกันนะที่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง แล้วมันจะมีหน้าคนคนนึงลอยมาเลย คนนั้นคนเดียวเลย โอเค… กูตื่นรู้เพราะหนัง A24 อีกละ
ข้างล่างนี้จะเริ่มมีสปอยล์แล้วนะ….

อีกซีนที่ทำให้เราร้องไห้ก็คือ…. ตอนที่ตัวละคร Luke (Callum Turner) ระเบิดอารมณ์ บอกว่า ตัวเองไม่ใช่คนเพอร์เฟ็กต์ เพราะเขามักถูกคนรอบตัวมองว่าเพอร์เฟ็กต์ ซึ่งนั่นทำให้เขาอึดอัด กดดัน เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนเพอร์เฟ็กต์ ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ ซึ่งมันโยงถึงชีวิตจริงของเรา (อีกละ) ที่ถูกอีกฝ่ายมองว่าเราดีพร้อมทุกอย่าง ในขณะที่เราไม่ได้อยากเป็นคนที่อยู่สูงกว่าเขา เราอยากเป็นคนที่เท่า ๆ กับเขา อยากอยู่บน same page และเดินไปพร้อม ๆ กันกับเขา ซึ่งตรงนี้นี่แหละคือจุดด้อยของเขาเมื่อเทียบกับ Larry (Miles Teller)
สำหรับ Joan ณ ปัจจุบันแล้ว Luke เหมือนชายในฝัน หล่อ สูง ธงเขียว รอเธอคนเดียวมาทั้งชีวิตก็จริง แต่เขาไม่เคยได้มีโอกาสใช้ชีวิตหรือสร้างความทรงจำร่วมกันเลย และตอนนี้เขาเหมือนเด็กที่ยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตจริง ๆ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตวัยผู้ใหญ่และวัยแก่ชราอันยากลำบากบนโลกมนุษย์เหมือนคนอื่น ๆ ในขณะที่ Larry เป็นคนที่มีอยู่จริงสำหรับ Joan จะดีจะร้ายก็อยู่ด้วยกันมาเกินครึ่งชีวิต ผูกพันยิ่งกว่าเพื่อนสนิท รู้จักตัวตน ณ ปัจจุบันของเธอดีที่สุด เป็นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเธอ ณ ปัจจุบัน และที่สำคัญยังมีเรื่องราว ความทรงจำ และพันธะร่วมกันมากมาย
กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือ “ความทรงจำ” จะเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ที่หนึ่งในตัวละครเอกพูดว่า “I don’t know how you compete with a memory.” กับ “We are the collective of memories.” และซีนสำคัญของเรื่องเกิดขึ้นใน “ห้องเก็บความทรงจำ” เพราะความทรงจำเป็นดาบสองคม ความทรงจำทำให้คนไม่มูฟออน และความทรงจำอีกเช่นกันที่ย้ำเตือนให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
สุดท้ายเราได้เข้าใจแล้วว่า ที่เขาให้ Collect memories, not things เพราะสุดท้าย ในโลกที่เงินไม่สำคัญ หรือในวันที่ตายไปแล้วเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปด้วยไม่ได้ ความทรงจำคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด
Memories compound over time, and they’re real assets.