คงไม่ใจร้ายเกินไป ถ้าจะบอกว่า Avatar: Fire & Ash เป็นหนังที่สร้างและขายจากบุญเก่าของ James Cameron — ไม่มีอะไรใหม่ แต่ยังเป็นหนังทรงคุณค่าตามมาตรฐาน James Cameron
เราไม่ปฏิเสธเลยว่า James Cameron เป็นผู้กำกับที่ทำหนังเก่ง เขาสร้าง world-building ที่ยอดเยี่ยมให้กับชาวนาวีทั้งหลายอย่างน่าทึ่งตั้งแต่ 16 ปีก่อน จากวันนั้นจนถึงวันนี้… Avatar มาถึงภาค 3 แล้ว… มาถึงรุ่นลูกของ Jake Sully (Sam Worthington) กับ Neytiri (Zoe Saldaña) แล้ว เราก็ยังชื่นชมกับงานละเอียดของเขา visual ตระการตา และฉากแอ็คชั่นที่ตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม
ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นด้วยกับ The Hollywood Reporter ที่บอกว่า Avatar: Fire & Ash ก็คือ One Battle After Another มันคือ เรื่องราวที่ไม่ได้ใหม่ ต่อให้เขาเปลี่ยนโฟกัสจากรุ่นพ่อแม่มาเป็นรุ่นเด็ก ๆ แล้ว แต่เรื่องราวก็ยังคงวนอยู่กับการเป็นคนนอก (outcasts) การไล่ล่าสปีชีส์อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และการล่าอาณานิคมที่ไม่จบไม่สิ้น แต่มองแง่ดีอีกแง่นึง ปัญหาสังคมและสงครามในชีวิตจริงมันก็วนลูปอย่างนี้เหมือนกัน และอย่างน้อย James Cameron ก็ออกแบบและกำกับซีนสงครามได้โคตรสนุก โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ในองก์สุดท้าย

สิ่งที่ภาคนี้มีความแปลกใหม่ขึ้นมาหน่อย อาจเป็นตัวร้ายกลุ่มใหม่ นำโดย Varang (Oona Chaplin) ที่ดูเป็นแม่มดที่มีจริตจะก้าน น่าจะเป็นขวัญใจกะเทยไทยได้ไม่ยาก ส่วน Col. Miles Quaritch (Stephen Lang) ตัวร้ายหลักประจำแฟรนไชส์ดูมีมิติขึ้นมานิดนึงเพราะมี Spider (Jack Champion) ลูกในไส้ ซึ่งในภาคนี้ Spider กับ Kiri (Sigourney Weaver) ดูเป็นหัวใจหลักของเรื่อง ไม่ใช่ Lo’ak (Britain Dalton) แล้ว
แต่สุดท้าย สมมติถ้ามอง Avatar: Fire & Ash เป็นหนังเรื่องหนึ่ง และมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า “มันก็เรื่องเดิม ๆ” ก็ยังต้องยกย่องว่า ปู่ James Cameron ในวัย 71 ปี ยังเก๋าอยู่จริง ๆ และ Avatar: Fire & Ash คืออีกหนึ่งงานคราฟต์งานละเอียดระดับมาสเตอร์พีซ ทรงคุณค่า คุ้มค่าแก่การเสพงานศิลป์ในโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะ IMAX 3D อยู่ดี ที่เราดูแล้ว ต้องบอกว่า “I SEE YOU.” เพราะเห็นจริง ๆ ว่า ปู่แกใส่ความรักความเอาใจใส่ต่อภาพยนตร์ที่เขารักและธรรมชาติท้องทะเลมากมายจริง ๆ