จากเทรลเลอร์แว้บแรก Anniversary อาจดูเหมือนหนังสงครามแม่ผัว-ลูกสะใภ้ แต่จริง ๆ แล้วมันคือหนังการเมืองเต็มสูบ ไม่ใช่แค่การเมืองในครอบครัว แต่เป็นการเมืองระดับประเทศ
นี่เป็นหนังที่พูดถึง การเปลี่ยนแปลง พลังอำนาจ (Change & Power) และการตั้งคำถามว่า “คุณรู้จักคนรักของคุณดีพอหรือยัง?”
หนังเล่าเรื่องครอบครัวหนึ่งที่มี family gathering กันในทุก ๆ วันครบรอบ ซึ่งแต่ละปี เราจะได้เห็นสถานการณ์รอบด้านและไดนามิกของตัวละครที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรเลยในอีเวนต์สุดท้าย โดยครอบคลุมระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี
อีเวนต์แรกของเรื่องเป็นงานครบรอบแต่งงานปีที่ 25 ของพ่อแม่ ครอบครัวยังดูสุขสันต์และสมบูรณ์แบบ จนกระทั่งว่าที่ลูกสะใภ้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างอย่างสุดขั้วสุดโต่งก้าวเข้ามาในบ้าน
- Ellen (Diane Lane จาก Unfaithful) ผู้เป็นแม่ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนเกี่ยวกับรัฐศาสตร์หรือการเมืองการปกครอง
- Paul (Kyle Chandler จาก Manchester by the Sea) ผู้เป็นพ่อ เป็นเชฟและเจ้าของร้านอาหาร
- Anna (Madeline Brewer จาก The Handmaid’s Tale) ลูกสาวคนโต เป็น standup-comedian ชื่อดัง
- Cynthia (Zoey Deutch จาก Set It Up) ลูกสาวคนรอง เป็นทนายความสิ่งแวดล้อม แต่งงานกับ Rob (Daryl McCormack จาก Peaky Blinders) ซึ่งทำอาชีพเดียวกัน แต่นอกนั้นก็ดูไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
- Birdie (Mckenna Grace จาก Regretting You) ลูกสาวคนเล็ก เป็นเนิร์ดวิทยาศาสตร์
- มีแต่ Josh (Dylan O’Brien จาก The Maze Runner) ลูกชายคนเดียวของบ้าน ที่เขารู้สึกเป็นแกะดำ เป็นนักเขียนนิยายที่ล้มเหลว และยังต้องขอเงินพ่อแม่ไปช่วยจ่ายค่าเช่าบ้าน ครั้งนี้ Josh พาแฟนสาว Liz (Phoebe Dynevor จาก Bridgerton) มาเปิดตัวด้วย ซึ่งปรากฏว่าเธอเป็นอดีตนิสิตที่เคยมีปัญหาใหญ่โตกับ Ellen ในชั้นเรียน

“I used to be afraid of you but I don’t think I am anymore.”
Liz เป็นเหมือนสิ่งที่มาเติมเต็มและทำให้ Josh ค้นพบทางของตัวเองและรู้สึกถูกยอมรับ โดย ณ ตอนนั้น Liz กำลังเขียนหนังสือ “The Change” เกี่ยวกับแนวความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ เสนอระบบการเมืองการปกครองที่มีพรรคเดียว ซึ่งต่อมา “The Change” กลายเป็นหนังสือที่ไม่ใช่แค่ best seller แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติทำให้เกิด movement ที่เปลี่ยนแปลงประเทศแบบ upside down คล้ายกับที่ Common Sense ของ Thomas Paine เคยเปลี่ยนการเมืองของอเมริกามาแล้วเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีตัวแปรสำคัญเข้ามามีอิทธิพลต่อระบบโครงสร้าง คนในสังคม ที่ต้องการอยู่รอด ต้องเลือกว่าจะ resist หรือจะ flow ไปกับกระแสน้ำ
การที่หนังเลือกจั๊มพ์ไทม์ไลน์ เพื่อเล่าเฉพาะเหตุการณ์วันครบรอบ ก็ยิ่งทำให้คนดูเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ทั้งกับคน สังคม บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในบ้านว่า ในระยะเวลา 2-5 ปี อะไร ๆ มันเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดไหน
เมื่อหนังสือของ Liz ประสบความสำเร็จ สปอตไลต์เปลี่ยน ระบบการเมืองการปกครองเปลี่ยน (มีเคอร์ฟิว, free speech ถูกเทคโอเวอร์, etc.) ประเทศเปลี่ยนขั้วอำนาจ สถานะในครอบครัวและทางสังคมของแต่ละคนก็เปลี่ยนแบบ upside down เช่นกัน
เช่น แม่ต้องออกจากการสอนที่มหา’ลัย, ธุรกิจร้านอาหารของพ่อขาดทุน, หรือพี่สาวคนโตที่กำลังเป็นดาวรุ่งอยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นดาราตกอับ ถูกล่าแม่มดเพราะการแสดงออกทางการเมือง ในขณะที่ Josh มีเงินและชื่อเสียงมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีอำนาจมากขึ้น และเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนแม้แต่ Liz ก็คาดไม่ถึงและรับมือไม่ได้
คนเราล้วนเจอตัวแปรใหม่ ๆ ทุกวัน คนเราจึงเปลี่ยนไปทุกวัน และแต่ละคนต่างมีหลายมิติ บทบาท หรือตัวตน เช่น บางทีเราอาจไม่รู้เลยว่าลูกสาวที่แสนดีที่บ้านนั้น ออกไปนอกบ้านแล้ว เธอเป็นคนยังไง ดังนั้น ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่จะเหมือนเดิมกับเมื่อวาน 100% มันจึงสำคัญที่เราต้องหมั่น reflect ตัวเองและความสัมพันธ์กันทุกปี
หรือบางทีมันอาจไม่มีใครเปลี่ยนไปเลย Josh อาจเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถูก “ความไร้ความสำเร็จ” กดทับอีโก้ไว้ และระบบการเมืองแบบเก่าทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยหรือลืมตาอ้าปากได้ เงินและอำนาจ ที่มีขึ้นมีลง คือสิ่งที่ทั้งกดดทับและเปิดเผยธาตุแท้ของมนุษย์ในเวลาเดียวกัน เราทุกคนล้วนถูกอำนาจหรือการเมืองการปกครอง ไม่ว่าจะจากสถาบันใดใด กดทับเสรีภาพในการเป็นตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้นำคนแรก ๆ ในสังคมเผด็จการหรือฟาสซิสต์มักมาจากการเคยถูกกดขี่ ข่มเหง หรือดูถูกเหยียดหยามเหมือนกันทั้งสิ้น… ถ้าโลกยังขับเคลื่อนด้วยความรุนแรงและความเกลียดชังไม่รู้จบ อะไรแบบนี้ก็คงวนลูปเป็นวงจรอุบาทว์ไม่จบไม่สิ้นเช่นกัน
My pencils outlast your erasers