28 Years Later ซอมบี้ XวE ใหญ่กว่าเดิม
จริง ๆ แล้ว “ซอมบี้” อาจไม่ใช่นิยามที่ถูกต้องนัก เพราะ Danny Boyle และ Alex Garland (ผู้กำกับ และ ผู้เขียนบท) ตั้งใจใช้คำว่า “ผู้ติดเชื้อ” (the infected) มากกว่า เพื่อไม่ให้แบ่งแยกหรือตัดขาดความเป็นมนุษย์ของพวกเขาโดยสิ้นเชิง อยากให้ระลึกว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยมีชุดความคิด ความรู้สึก และหัวใจไม่ต่างจากเรา หรือต่อให้ทุกวันนี้ เขาจะดูแตกต่างจากเรามาก แต่เขาก็ยังมีความเหมือนกับเรา เช่น การมีครอบครัว การกลัวตาย หรือการอยู่รอด
หนังซอมบี้ในจักรวาลนี้ไม่ได้มุ่งเน้นฉากแอ็คชั่นเลือดสาด หรือการยกย่องเชิดชูตัวละครฮีโร่ที่เก่งกล้าหรือขยันฆ่าซอมบี้แต่ไหนแต่ไร ตรงกันข้าม พวกเขาแทบจะต่อต้านการ ความคิดแบบ “ยิ่งฆ่า ยิ่งสนุกสะใจ” เสียด้วยซ้ำ หนังของพวกเขาให้ความสำคัญกับตัวละครที่มีหัวจิตหัวใจ จิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์ และให้ค่ากับการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความต่างมากกว่า แต่ถึงแม้จะไม่ได้เน้นฉากแอ็คชั่นเป็นหลัก พวกเขาก็ยังทำฉากต่อสู้และไล่ล่าได้ลุ้นระทึก พอจะประนีประนอมกับคอหนังซอมบี้ทั่วไปให้ไม่เทกลางทางได้อยู่บ้าง

28 Years Later สะท้อนโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความกลัว ความเกลียดชัง การแบ่งแยก จนไปถึงชาตินิยม (ดั่งที่จะเห็นธงชาติ ศาสนา และรูปราชินีที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง) โดยเล่าเรื่องผ่านสายตาตัวละครเด็กหรือคนรุ่นใหม่ ที่เกิดและเติบโตในยุคที่ความรุนแรง ความคลั่งชาติ และอุดมคติแบบฮีโร่เป็นเรื่องปกติและสังคมให้การยอมรับ จนทำให้ชายแท้บางคนต้องพยายามหนักเกินตัวที่จะสร้างเรื่องราวฮีโร่เป็นของตัวเอง
มันชวนให้ตั้งคำถามว่า ในระยะเวลาผ่านไป ค่านิยมเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้คนและชุมชนกลายเป็นอย่างไร เรากำลังเดินถอยหลังสู่ยุคสงครามโลก หรือยุคที่บทบาททางเพศถูกจำกัดชัดเจน (เช่น ผู้ชายทำงานใช้แรงงานและสู้รบ ผู้หญิงทำงานบ้านและครัวเรือน) หรือเปล่า?
:max_bytes(150000):strip_icc()/28YEARSLATER-041625-02-a3785b41eacc489fbc5f0100b40d0df7.jpg?w=1160&ssl=1)
เรื่องราว 28 Years Later เกิดขึ้นบน British Mainland และ Holy Land ซึ่งเป็นเกาะกักกันเชื้อโรคและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ตัวละครหลักคือเด็กชายวัย 12 ปี Spike (Alfie Williams) ที่เราจะได้ติดตามเขาตั้งแต่ช่วงแรกที่พ่อของเขา Jamie (Aaron Taylor-Johnson จาก Kraven) พาข้ามไปฝึกภาคสนามครั้งแรกที่ Mainland เพื่อเรียนรู้การเอาตัวรอดและฆ่าผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นช่วงที่เน้นขายฉากแอ็คชั่นลุ้นระทึกประมาณหนึ่ง
ช่วงหลัง หนังเริ่มเข้าสู่โหมดความเป็นมนุษย์อย่างจริงจัง เกี่ยวกับความหมายของ การเกิด การมีอยู่ และการตาย เมื่อ Spike เด็กชายผู้ยังไม่รู้จักคำว่าสิ้นหวัง ได้พาแม่ของเขา Isla (Jodie Comer จาก Free Guy) ซึ่งป่วยหนัก ข้ามไป Mainland เพื่อหา Dr. Ian Kelson (Ralph Fiennes จาก Harry Potter) หมอคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้
และระหว่างทาง หนังได้เติมความหวังและความสดใส (?) ในช่วงกลางเรื่อง ด้วยหนึ่งตัวละครตัวจี๊ด Erik (Edvin Ryding) นาวิกโยธินสวีเดน ที่พลัดเข้ามาติดเกาะแห่งนี้ เขาเป็นคนเมืองที่ยังมีอารมณ์ขัน พอเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้คนดูผ่อนคลายคั่นบรรยากาศอันตึงเครียด

โดยส่วนตัว เราชอบ 28 Years Later มาก จนกล้าบอกว่า นี่เป็นหนัง Zombie Apocalypse ขึ้นหิ้ง สำหรับเราเลยแหละ เช่นเดียวกับที่ 28 Days Later (2002) เคยทำไว้ ด้วยการใส่หัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ แง่มุม existentialism และ mortality ที่ทำให้หนังโดดเด่น จนกลายเป็นคลาสสิกในหมู่หนังซอมบี้ (ถึงแม้เขาจะไม่อยากเรียกว่าซอมบี้ก็ตามแต่)