How to Train Your Dragon เวอร์ชั่น live action (2025) ไม่ได้น่าชื่นชมเพราะมัน “ตรงปก” แต่มันยอดเยี่ยมเพราะหนังรักษา core message หรือหัวใจของต้นฉบับไว้ได้อย่างสวยงาม และพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเด็นที่แอนิเมชั่นถ่ายทอดไว้ตั้งแต่ 15 ปีก่อน มันแข็งแกร่งมาตั้งแต่รากฐาน และยังคงทรงพลังกระทั่งในยุคปัจจุบัน
พอเป็น live action คนดูจะได้เข้าถึงการแสดงที่ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์และพลังการแสดง ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกอินในแบบที่แอนิเมชั่นให้ไม่ได้ อีกทั้งการถ่ายภาพที่มีฉากขยายเกินกว่า 50% ของเรื่องเพื่อประสบการณ์ในโรง IMAX โดยเฉพาะ ซึ่งช่วยเพิ่มมิติและความตื่นเต้น โดยเฉพาะฉากต่อสู้ และฉากบินที่ใช้ประโยชน์จากความเป็น live action ได้อย่างคุ้มค่า
ในฐานะคนที่เติบโตมากับแอนิเมชั่นเรื่องนี้ การได้กลับมาดูเวอร์ชั่นใหม่นี้ตอนที่เราโตขึ้นแล้ว มันทำให้เราเข้าถึงเนื้อหามากกว่าเดิม— ไม่ใช่แค่ความบันเทิง หรือความน่ารักของเจ้าเขี้ยวกุด แต่เป็นการได้มองเห็นหัวใจของเรื่องนี้จากเลนส์ของผู้ใหญ่ที่ลึกซึ้งขึ้นและอิ่มเอมหัวใจมากขึ้น

หนึ่งในประเด็นที่ตอนเด็กเรายังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งเท่าตอนนี้คือเรื่อง การเลือกเส้นทางของตัวเอง ถึงแม้จะแตกต่างจากคนอื่นในสังคม หรือขัดแย้งกับความคาดหวังของครอบครัว แต่เราก็เลือกเป็นตัวเอง ไม่ใช่ทำอะไรเพียงเพื่อให้ใครยอมรับหรือกลัวเพราะใครจะผิดหวัง
เช่น เราอินกับฉากที่ช่วงแรก ๆ Hiccup (Mason Thames) กับ พ่อ (Gerard Butler) ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะมีความคิดเห็นและเป้าหมายในชีวิตต่างกัน (พ่อ ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่า อยากให้ลูกเจริญรอยตามการเป็นนักล่ามังกรตามวิถีไวกิ้ง แต่ลูกไม่อยากฆ่ามังกร)
หนังยัง empower ให้ทุกคนโฟกัสที่จุดเด่นของตัวเอง ไม่เอาบรรทัดฐานของสังคมมาจำกัดความสามารถหรือแสงในตัวของตัวเอง และผู้นำไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดหรือบู๊เก่งที่สุด นอกจากนี้เราชอบ Astrid (Nico Parker) ที่ไม่ได้แค่สวยเท่ แต่เป็นตัวแทนของทั้งผู้หญิงและคนธรรมดาที่ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองมากกว่าคนที่เกิดมาเป็นชายแท้หรือคนที่เกิดมาพร้อมพริวิลเลจ

สรุป How to Train Your Dragon เวอร์ชั่น live action (2025) ไม่ได้ให้แค่ความเหมือน แต่ให้ความหมายกับงานต้นฉบับที่ลึกซึ้งกว่าเคย และ บิน “สูงกว่าเดิม”
การดูหนังเรื่องนี้ เหมือนได้กลับไปเจอเพื่อนเก่า ที่เคยทำให้เราเติบโตมาอย่างดีในวันนั้น และตอนนี้ ตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม เรายิ้มทั้งเรื่องเหมือนไม่เคยดูมาก่อน ทุกอย่างยังคงสดใหม่ และเข้ากับโลกปัจจุบันอย่างน่าทึ่งจริง ๆ