ค่ายหนังไทยอารมณ์ดี GDH559 ตั้งใจมอบภาพยนตร์โรแมนติก-คอเมดี้ พรจากฟ้า เป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้แก่คนไทยทุกคน เนื้อเรื่องมีทั้งหมด 3 พาร์ต แต่ละพาร์ตเกี่ยวข้องกับเพลงพระราชนิพนธ์คนละเพลง และใช้นักแสดงนำคนละคู่ โดยแต่ละพาร์ทมีจุดเชื่อมโยงกันนิดหน่อย
เรื่องย่อ พรจากฟ้า
พาร์ทแรก เป็นพาร์ทของเพลง ยามเย็น กำกับโดย หมู-ชยนพ บุญประกอบ และปิง-เกรียงไกร วชิรธรรมพร นำแสดงโดย วี วิโอเล็ต วอเทียร์ และ นาย ณภัทร เสียงสมบุญ ร่วมด้วย นท เดอะสตาร์ เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวแปลกหน้าที่จับพลัดจับผลูต้องมาเป็นสแตนด์อิน “ท่านทูตรัสเซีย” กับ “ภริยาท่านทูต” คู่กัน และโมเมนต์ “อ้อย” ก็เกิดขึ้น
พาร์ตสอง เป็นพาร์ทเพลง Still on My Mind กำกับโดย ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร นำแสดงโดย มิว นิษฐา และ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ โดยมิวรับบทเป็นลูกสาวที่ต้องดูแลพ่อที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์และถามหาแม่ตลอดเวลาทั้งที่แม่ไม่อยู่แล้ว ส่วนซันนี่เป็นช่างจูนเปียโนที่มาช่วยมิวซ่อมเปียโน เพราะมิวเชื่อว่าเสียงเปียโนเพลงโปรดของแม่จะทำให้พ่อจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
พาร์ตสุดท้าย เป็นพาร์ทเพลง พรปีใหม่ ผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ เก้ง-จิระ มะลิกุล นำแสดงโดย เต๋อ ฉันทวิชช์ และ หนูนา หนึ่งธิดา สองพระนางผู้รับบทเป็นมนุษย์เงินเดือนผู้มีใจรักในเสียงดนตรี พยายามทำให้บอร์ดบริหารอนุมัติสร้างห้องซ้อมดนตรีให้พนักงานในออฟฟิศ
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ พรจากฟ้า
คนทั่วไปอาจจะคิดว่า พรจากฟ้า เป็นหนังเทิดพระเกียรติหรือหนังเกี่ยวกับ ร.๙ เลยอาจมองข้ามหนังเรื่องนี้ไปบ้าง แต่ในฐานะที่ไปดูมาแล้ว เรายืนยันอีกเสียงเลยว่านี่เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ตามสไตล์ GDH ทั่วไปที่พวกเราคุ้นเคยนั่นแหละ นี่ไม่ใช่หนังเทิดพระเกียรติในหลวง ที่ไหนอะไรเลย ไม่มีชื่อของพระองค์หลุดรอดเล็ดมาสักคำด้วยซ้ำ มีแต่เพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่ใช้เป็นธีมของหนังพาร์ทละเพลง
- ยามเย็น
- Still on My Mind
- พรปีใหม่
ตามความรู้สึกของเรา พาร์ทแรกเป็นพาร์ทที่สนุกที่สุดและทำดีที่สุดในบรรดาทั้งสามพาร์ท อย่างแรกเลย ท่านทูตกับภริยาท่านทูตเคมีเข้ากันมาก ดูไปยิ้มไปตลอดเวลา นาย ณภัทร ลูกแม่หมู เกิดมากกกกก เกินจนนี่บางทีก็เผลอมโนว่าตัวเองกำลังเป็น วี วิโอเล็ต
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เสน่ห์และความกรุ้มกริ่มของ นาย ณภัทร ไม่ใช่แค่คาแรกเตอร์อันน่ารักและเสียงอันไพเราะของ วี วิโอเล็ต เท่านั้น เพราะต่อให้พระนางสวยหล่อแค่ไหน แต่หากบทไม่ดี ไดอะล็อกไม่ปัง หนังก็ไม่สนุก จริงมั้ย แต่นี่สองผู้กำกับตีความและนำเสนอเพลง ยามเย็น ได้น่าสนใจ ทำให้เพลงพระราชนิพนธ์มีความหมายยิ่งขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายกับคนรุ่นใหม่
‘แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา’ อาจจะมีความหมายรำลึกถึงคนรักเก่าที่จากไปอย่างเศร้าโศกเสียใจก็ได้ หรือในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นความหมายที่ดี ภูมิใจ ยินดี และส่งคนที่เรารักและปรารถนาดีไปสู่แดนไกลก็ได้อีกเช่นกัน แล้ว วี วิโอเล็ต ร้องเพลงนี้เพราะมาก สื่อเพลงเดียวกันได้ถึงแก่นทั้งสองความหมาย เก่งสุด ๆ
ส่วนพาร์ทอื่น ๆ เราว่ามันค่อย ๆ ดร็อปลง ถึงแม้ว่าทั้งสามพาร์ตมันจะคนละรสคนละสไตล์ก็เถอะ แต่ถ้าว่ากันในเชิงคุณภาพการกำกับ เขียนบท และองค์ประกอบต่าง ๆ แล้ว เราว่ายังไงมันก็ดร็อปลงเรื่อย ๆ อยู่ดี ทั้งที่เราชอบพาร์ทแรกมาก ๆ ในส่วนของการพยายามเอาตัวละครทั้งสามพาร์ทมาเชื่อมโยงกันก็ขอใช้คำว่า “พยายามได้ดี” แต่ยังไม่ได้เนียนขนาดนั้น เพราะมันยังชัดเจนว่า “พยายาม” (แต่ชื่นชมในความพยายามไง งงมั้ย)
พาร์ทสอง ตัดอารมณ์มาที่งานดราม่า ถ้าไม่มีตัวละครของซันนี่ กวน ๆ โผล่มานี่คือดราม่าหนักทั้งเรื่อง แต่ข้อดีคือมันทำให้เราคิดถึงครอบครัว คิดถึงพ่อแม่ที่เริ่มแก่เฒ่าลงมากขึ้น คนที่มีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่เป็นอัลไซเมอร์ก็คงยิ่งอินมั้ง แต่โดยส่วนตัวเราก็มีคุณย่าเป็นอัลไซเมอร์แบบนี้เด๊ะเลยนะ แต่เราก็ไม่ได้อินขนาดนั้น เรื่องมันดูตั้งใจประดิษฐ์ให้ดราม่ามากเกินไปนิดนึง
สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับพาร์ทสอง เราว่ามิวแสดงดราม่าได้ดีขึ้นและเป็นธรรมชาติกว่าในเรื่อง แฟนเดย์ฯ คนที่รับบทเป็นคุณพ่อของมิวก็เล่นดี ยิ่งเสริมให้การแสดงของมิวเจิดมากขึ้น ส่วนซันนี่เรื่องนี้บทไม่เยอะ แต่มีความสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเขา ปัญหาของมิวอาจจะไม่จบง่าย ๆ และเรื่องนี้ก็คงไม่มีอะไรให้ยิ้มหรือหัวเราะเลย นอกจากน้ำตาซึม
อีกอย่างหนึ่งคือ ได้รู้จักเพลงพระราชนิพนธ์เพิ่มขึ้นหนึ่งเพลงคือเพลง Still on My Mind (เพลงนี้เราไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้สึกเสียชาติเกิด) ฟังดูก็ดูมีความหมายเข้ากับเนื้อหาหนังพาร์ทนี้นะ แต่ไม่ได้ใช้ชั้นเชิงในการถ่ายทอดมากนักเมื่อเทียบกับหนังพาร์ทแรก
พาร์ทที่สาม ตามหลักเขาก็เรียกว่าเป็นพาร์ทฟินาเล่ ใช้เพลง พรจากฟ้า มาสวัสดีปีใหม่คนดูก่อนปิดจบ ซึ่งบรรเลงได้สนุกมาก แต่คงจะอินกว่านี้ถ้าเราไปดูตอนช่วงสิ้นปีหรือปลายเดือน ธ.ค. จริง ๆ ไม่ใช่ต้นเดือน ธ.ค. / HAPPY NEW YEAR (แต่ก็เกรงว่าหากรอถึงตอนนั้น หนังอาจออกโรงไปแล้วหรือมีรอบเหลือน้อยมาก ๆ แหละเนอะ)
พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ weird มาก คือ surreal คือสุดโต่ง ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร สาระมีไม่ต้องมาก มีเอาไว้คลายเครียด เหมือนมาดูละครเวที circus (คือพาร์ทสองยังดราม่าครอบครัว ยังฟีลเศร้า ฟีลอบอุ่น ๆ อยู่ดี ๆ เก๊ตปะ) นักแสดงแต่ละคนเล่นใหญ่ออเคสตร้า โดยเฉพาะนักแสดงสมทบนี่สีสันของเรื่อง เต๋อกับหนูนาเรื่องนี้ธรรมด๊าธรรมดาไปเลย มุกก็ห้าบาทสิบบาทแต่เค้าก็กล้าเล่น ซึ่งตรงนี้เราชื่นชมนะ กะจะบ้ามันก็บ้าให้สุดไปเลย เป็นพาร์ทที่ไม่ได้อะไรมาก นอกจากคลายเครียดอารมณ์ดี
เอาจริงพาร์ทนี้มันก็สนุกในแบบของมัน แต่ที่ไม่ชอบคือใช้ซาวนด์เอฟเฟกต์ฟุ้งเฟ้อและเอิกเกริกไปนิด บทพูดหลายท่อนมันก็ดูยัดเยียดเกินไปหน่อย ดูพยายามเชื่อมโยงกับประเด็นความสุขพนักงาน เหมือนเอาใจมนุษย์ออฟฟิศผู้เป็นประชากรวัยทำงานส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ด้วยกลาย ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวม เป็นหนังที่ทำหน้าที่ของมันได้ดี ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของคนทำหนัง นั่นก็คือ “เป็นของขวัญให้คนไทย” และทำให้ “เพลงพระราชนิพนธ์” เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกับคนไทยทุกเพศทุกวัย เพราะดูแล้วมันมีความสุขมากจริง ๆ ถึงแม้บางพาร์ทจะไม่ได้อะไรนอกจากความสุขเลยก็ตาม แต่บางครั้งแค่มีความสุขมันก็เพียงพอแล้ว
คะแนนตามความชอบส่วนตัว พาร์ทแรก 8.5/10 พาร์ทสอง 8/10 พาร์ทสาม 7.5/10 บวกลบคูณหารทั้งสามพาร์ทเฉลี่ยแล้วคะแนนสรุปอยู่ที่ 8/10 ถือว่ายังเป็นหนึ่งในหนังไทยที่น่าสนับสนุนเรื่องหนึ่งแห่งปี
พรจากฟ้า เข้าฉายแล้วในโรงภาพยนตร์ บัตรราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 99 บาท รายได้ส่วนหนึ่งยังนำไปสมทบ “มูลนิธิชัยพัฒนา” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
READ MORE:
107 comments
Comments are closed.