หลังจากห่างหายจากหนังรักโรแมนติกไปนานหลายปี ในที่สุด Hugh Grant ที่เคยฝากผลงานภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี้ที่อยู่ในใจคอหนังทั่วโลกมาแล้วมากมาย อย่าง Notting Hill, Bridget Jones’s Diary, Love Actually และ Music and Lyrics ก็กลับมาสร้างความอบอุ่นให้หัวใจของเราในช่วงเดือนแห่งความรักนี้อีกครั้ง กับภาพยนตร์แนวฟีลกู๊ดเรื่องใหม่ “The Rewrite เขียนยังไงให้คนรักกัน” อีกหนึ่งผลงานการกำกับของ Marc Lawrence ที่เคยสร้างความประทับใจมาแล้วจาก Two Weeks Notice และ Music and Lyrics
เรื่องย่อ “The Rewrite เขียนยังไงให้คนรักกัน”
Keith Michaels (Hugh Grant) นักเขียนบทภาพยนตร์รางวัลออสการ์ในตำนาน ที่เคยอยู่จุดสูงสุดในชีวิตเมื่อ 15 ปีก่อน และกำลังเผชิญจุดตกต่ำแทบสุดในชีวิตในปัจจุบัน เพราะหนังเรื่องหลังๆ ที่เขาเขียนบทล้วนเจ๊งระเนระนาด หย่าร้างกับเมีย แถมยังถังแตก จนต้องจากเมือง Hollywood อันศิวิไลซ์ไปรับจ๊อบเป็นครูบ้านนอก สอนวิชา “การเขียนบทภาพยนตร์ (Screenwriting)” ในมหาวิทยาลัยเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ตอนแรก Keith Michaels ไม่ได้มี passion หรือศรัทธากับอาชีพครูเลยแม้แต่น้อย คัดนักเรียนก็คัดที่หน้าตา แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการเป็นครู ได้เพื่อนครูที่แสนดีอย่างคณบดี Dr. Lerner (J.K. Simmons จาก Whiplash) กับครู Jim (Chris Elliott) แฟนพันธุ์แท้ Shakespeare และที่สำคัญยังได้พบกับนักเรียนสาวใหญ่ Holly Carpenter (Marisa Tomei จาก What Women Want, In the Bedroom, The Wrestler) แม่ม่ายลูกติดผู้ซึ่งมองโลกในแง่ดี แบ่งเวลาเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า กลับมาร่ำเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ
…และเธอเป็นคนที่ทำให้ Keith Michaels ตัดสินใจอยากจะแก้ไข “บทชีวิต” ของตัวเองกับเขาดูสักที…
รีวิว / วิจารณ์ / วิเคราะห์ “The Rewrite เขียนยังไงให้คนรักกัน”
ก่อนจะไปลงที่ตัวหนัง เราขอเริ่มวิจารณ์ที่ “ชื่อไทย” ของหนัง เรารู้สึกขัดใจกับการตั้งชื่อ “The Rewrite” ว่า “เขียนยังไงให้คนรักกัน” อย่างยิ่ง เพราะมันทำให้หน้าหนังดูเป็นหนังรักน้ำเน่าที่พล็อตบ้านๆ ตามชื่ออันแสนเสี่ยวของมัน บอกไม่ถูก…
จริงๆ แล้ว “The Rewrite” เป็นหนังที่พล็อตใช้ได้ มีสาระ และไม่เลี่ยนหรือเชยเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะองก์ 1-2 ที่มีการใช้ภาษาที่สนุก มีการเสียดสีชีวิต กัดจิกฮอลลีวูด และรีเฟอร์ถึงภาษาและวรรณกรรมอังกฤษต่างๆ อย่างน่าประทับใจ (เราเป็นทั้งเด็ก Arts, นักเขียน, คนรักหนัง, และครูสอน writing เราจึงอินเป็นพิเศษ) อาจจะมีก็แต่องก์ 3 ที่บทสรุปดูเรียบง่ายตามสูตรไปบ้าง แต่รวมๆ ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น กล่าวคืออาจจะไม่ได้ดีจนถึงขั้น recommend แต่ก็เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ไม่รู้สึกเสียดายเวลาหรือค่าตั๋ว
ใครที่กลัวเบื่อกลัวง่วงหรือเอียนกับบทกวีเลี่ยนๆ ไม่ต้องห่วง เพราะ “The Rewrite” เป็นหนังน่ารัก เบาสมอง ติดตลก พาร์ทโรแมนติกเลี่ยนๆ นี่แทบไม่มีเลย เพราะหนังมันเน้นไปทางแนะแนวชีวิตเสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้ก็แอบสปาร์ค inspiration เราอยู่เหมือนกัน โดยเราเก็บประเด็นที่น่าสนใจจากหนังได้พอสมควรเลยทีเดียว
Life always offers a second chance. It’s called TOMORROW.
1. โอกาสที่สอง (second chance)
นางเอกของเรื่อง Holly Carpenter เป็นตัวละครที่มองโลกในแง่ดี เชื่อในโอกาสที่สองของคน และยังเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและขยันทำมาหากินอีกต่างหาก พูดง่ายๆ คือเธอขาวสะอาดและสดใสเสียเหลือเกิน เราดูจนจบเรื่องแล้วยังไม่เห็นข้อเสียของผู้หญิงคนนี้เลย นอกจากเรื่องที่เธอเคยล้มเหลวเรื่องชีวิตคู่มาก่อน แต่เธอก็ดูไม่ได้ยึดติดกับอดีต หรือเอาความล้มเหลวมาบั่นทอนปัจจุบันหรืออนาคตของตนเอง ตรงกันข้าม เธอพยายามใช้โอกาสที่สองนี้ ทำสิ่งที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเองและเพื่อลูกสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเธอ
ในขณะที่ Keith Michaels พระเอกของเรื่อง ผู้เคยประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงาน เงินทอง และชื่อเสียงระดับโลก (เป็นนักเขียนบทมือทองเจ้าของตุ๊กตาทองออสการ์ ในปี 1999) พอตกลงมาขาเป๋แล้วก็โซซัดโซเซ ไปไหนไม่เป็น ไร้ซึ่งกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อ และยอมรับสถานภาพทางอาชีพใหม่ไม่ค่อยจะได้
2. การเขียนสะท้อนตัวตนของคนเขียน
เพราะคนเรามีมากกว่าหนึ่งด้านเสมอ ฉากหน้าที่เราเห็นที่แต่ละคนแสดงออก อาจไม่ใช่เรื่องจริงหรือความรู้สึกจริงๆ ของคนคนนั้นเสมอไป แต่เราสามารถเรียนรู้เบื้องลึกของคนคนนึงได้จากการเขียนของเรา อย่างเช่น Keith Michaels ที่สามารถเข้าถึงและเข้าใจเด็กนักเรียนในคลาสของเขาได้ ผ่านนัยที่แฝงอยู่ในงานเขียนของเด็กๆ เช่น เด็กคนนี้เป็นคนขาดความอบอุ่นจากครอบครัว เด็กคนนี้เป็นนี่นั่นโน่น เป็นต้น
ถ้าเป็นคนที่เรียนหรืออ่านวรรณกรรม (หรือนิยาย) มาเยอะพอ คงจะเข้าใจดีว่า งานเขียนแต่ละชิ้นและตัวละครแต่ละตัวเป็นจิ๊กซอว์ที่สามารถบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวผู้เขียนได้มากมาย ดังนั้น ในชีวิตจริงปัจจุบันก็เช่นกัน ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้ออกหนังสือขาย แต่มันก็คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าแต่ละคนเป็นคนยังไง (แต่ก็แค่เดานะ ไม่ใช่ตัดสินได้ 100%) จากการดูโพสต์ข้อความต่างๆ ของเขาบนโซเชียลมีเดียนั่นเอง
3. เฟมินิสต์ (feminist)
Keith Michaels ไม่ใช่นักเขียนหนุ่มใหญ่ ที่มีความภูมิใจในพรสวรรค์ส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่ไม่เชื่อในพลังหรือศักยภาพของเพศหญิงอีกด้วย ตัวละคร Mary Weldon (Allison Janney จาก The Help และ Juno) จึงถูกส่งมาเป็นคู่ปรับของ Keith Michaels ในฐานะที่เธอเป็น feminist, conservationist, และแฟนพันธุ์แท้ของนักเขียนหญิงชื่อดังชาวบริติช Jane Austen
4. ชีวิตก็เหมือนรถไฟเหาะ
ชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนเส้นตรง หากแต่ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะตีลังกา แต่ละคนก็มียุคทองแต่ละช่วงอายุแตกต่างกันไป ซึ่งเราต้องเตรียมใจรับมือกับมันให้ได้ ไม่ว่าจะตรงช่วงทางลาดชัน หรือช่วงที่จมดิ่งลงไปแล้ว อย่าง Keith Michaels ถือเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่เคยเตรียมใจกับภาวะนี้มาก่อน
5. การยอมรับในตัวเอง
Keith Michaels เคยดังสมัยหนุ่มๆ แต่พอต้องมาเป็นแค่ครูธรรมดา (บุญเก่าพอกินได้บ้างประปราย) เขาก็ทำใจไม่ได้ เขาสูญเสียความมั่นใจและไม่ยอมรับในตัวเอง และคิดด้วยว่าคนอื่น โดยเฉพาะ Alex ลูกชายของเขา ก็คงยอมรับตัวตนในปัจจุบันของเขาไม่ได้เช่นกัน เขาจึงพยายามเมคอัพเรื่อง ปกปิดความผิดพลาดและความล้มเหลวของตัวเอง แทนที่จะพยายามเรียนรู้จากมันหรือแก้ไขให้มันดีขึ้น
6. ความสุขของคนเป็นเรือจ้าง
I like being teacher.
ครูอาจไม่ใช่อาชีพที่ร่ำรวย เท่ หรือเป็นที่รู้จักเท่าอาชีพนักเขียนผู้สร้างสรรค์บทภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ครูก็เป็นอาชีพที่สร้างสรรค์และปั้นเด็ก next generation รุ่นใหม่ๆ ให้วงการต่างๆ มานักต่อนัก
บทบาทของ Keith Michaels ทำให้เราอิน เพราะเราก็เคยเป็นนักเรียนเรียน writing และตอนนี้ก็เป็นครูสอนวิชา writing ดังนั้น ทั้งฉากในคลาสเรียน และฉากที่เขาให้คำปรึกษาแนะนำเด็กนักเรียนด้านการเขียนเป็นรายบุคคล จึงเป็นพาร์ทที่ทำให้เรามองเห็นตัวเอง ทั้งยังสร้างกำลังใจและแรงผลักดันให้เราอยากดูแลและจุดประกายเด็กๆ ของเราให้รู้จักตัวตน เห็นจุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง และพัฒนาสกิลการเขียนให้เก่งยิ่งๆ ขึ้นไป
เราประสบความสำเร็จเอง ว่ามีความสุขแล้วนะ แต่พอได้ทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จไปด้วยได้นั้น กลับมีความสุขยิ่งกว่าตอนเห็นตัวเองประสบความสำเร็จเอง ไม่รู้สิ มันเป็นความรู้สึกที่ต้องไปสัมผัสเอง อธิบายยาก
7. อดีตคือภาพถ่าย
เราชอบฉากที่ Keith Michaels (ในภาวะตกอับ) นั่งดู Youtube คลิปถ่ายทอดช่วงวินาทีแห่งความสำเร็จ ที่เขาพูดสปีชบนเวทีรางวัลอันทรงเกียรติ พูดถึงความภาคภูมิใจ ดีใจ และขอบคุณเบื้องหลังความสำเร็จของเขา
อดีตไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันสมควรถูกเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก และถูกหยิบออกมานึกถึงบ้างในบางครั้ง เช่นเดียวกับการเอาขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหลังสักก้าวนึงก่อน เพื่อใช้เป็นพลังผลักดันถีบไปข้างหน้าต่อไปได้อย่างแรงขึ้น
8. ความล้มเหลวคือบทเรียนที่ดีที่สุด
It is impossible to live without failing at something, unless you live so cautiously that you might as well not have lived at all – in which case, you fail by default.
Failure gave me an inner security that I had never attained by passing examinations. Failure taught me things about myself that I could have learned no other way. I discovered that I had a strong will, and more discipline than I had suspected; I also found out that I had friends whose value was truly above the price of rubies.
“The Rewrite เขียนยังไงให้คนรักกัน” เข้าฉาย 5 ก.พ. 2015
30 comments