หนังสือนิยายขายดี The Light Between Oceans (2012) ของ M.L. Stedman ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์รักดราม่าสุดประทับใจโดยผู้กำกับ Derek Cianfrance (ผู้กำกับ Blue Valentine) นำแสดงโดยสามนักแสดงนำผู้เคยผ่านเวทีออสการ์มาแล้วทั้งสิ้น
- Michael Fassbender (จาก Steve Jobs, 12 Years a Slave, X-Men)
- Alicia Vikander (จาก The Danish Girl, Ex Machina)
- และ Rachel Weisz (จาก The Constant Gardener, The Lobster)
เรื่องย่อหนัง The Light Between Oceans
อดีตทหารผ่านศึก Tom Sherbourne (Michael Fassbender) มาสมัครเป็นนายประภาคารแห่งเกาะ Janus เกาะเล็ก ๆ อันเงียบสงบ ห่างไกล และไร้ผู้คน เขาพบรักกับ Isabel Graysmark (Alicia Vikander) ทั้งสองแต่งงานกันและมาอยู่ที่เกาะด้วยกันสองคน
แต่แล้วไม่นานพวกเขาพบว่า Isabel ไม่สามารถมีลูกได้ หญิงสาวซึมเศร้าหนักมาก จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีเด็กหญิงทารกลอยมาติดเกาะกับเรือแจวลำหนึ่ง พวกเขาช่วยชีวิตเด็กและเลี้ยงไว้เป็นลูก ตั้งชื่อเด็กว่า Lucy
เมื่อ Lucy อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต Tom ได้พบกับ Hannah (Rachel Weisz) ลูกสาวของเศรษฐีใหญ่ในเมือง และได้ค้นพบว่า Lucy คือลูกสาวที่หายไปของ Hannah
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Light Between Oceans
The Light Between Oceans มีความคล้ายจะเป็นหนังแนวนิยาย Nicholas Sparks แต่ไม่ใช่ อย่างน้อยก็น้ำเน่าน้อยกว่า และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่โปรดักชั่นดูดีกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่สร้างจากนิยายของ Nicholas Sparks โดยเฉพาะการถ่ายภาพ ภาพสวยมาก สังเกตได้ชัดเลยว่าเชาพิถีพิถันเรื่องสีและองค์ประกอบของภาพอย่างยิ่ง
ตัวละครเด่นในเรื่องนี้มีแค่สามคน ดังนั้นนักแสดงผู้เข้าชิงออสการ์มาแล้วสองปี Michael Fassbender กับสองนางเอกเจ้าของออสการ์อย่าง Alicia Vikander และ Rachel Weisz จึงมีโอกาสโชว์สกิลการแสดงได้ค่อนข้างเต็มที่ อีกทั้งยังทำให้สองพระนาง Michael Fassbender กับ Alicia Vikander พบรักกันจริงกลางกองถ่ายอีกต่างหาก
เรื่องราวใน The Light Between Oceans ดำเนินไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็ติดตามวิถีชีวิตอันแสนเงียบสงบและเหงาหงอยของสองสามีภรรยาบนเกาะแห่งประภาคาร โดย Tom จะเป็นคนเงียบ ๆ รักสันโดษ ร่างกายและจิตใจเต็มไปด้วยบาดแผลจากสนามรบ ส่วน Isabel จะเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้จะเคยสูญเสียพี่ชายทั้งสองคน แต่เธอก็ยังเต็มไปด้วยประกายแห่งความสดใส
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียแต่ละครั้งย่อมทำให้แต่ละคนค่อย ๆ เปลี่ยนไป เมื่อ Isabel สูญเสียลูกในครรภ์ไปถึงสองครั้งติดกัน เธอก็ซึมเศร้าและหมดหวังที่จะมีลูก ซึ่งการสูญเสียนั้น บางครั้งก็ต้องเยียวยาโดยการทดแทนหรือแทนที่
ประเด็นสำคัญของเรื่องคือ ความรัก ความหวัง และความเสียสละ โดยมี “ประภาคาร” เป็นสัญลักษณ์ของ แสงสว่าง ที่จะนำพาตัวละครแต่ละตัวนั้นให้ดำเนินชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าชีวิตจะเคว้างคว้างอยู่กลางทะเลหรือเจอคลื่นลมมรสุม พวกเขาก็จะมีความรักเป็นแสงไฟส่องนำทาง เช่นเดียวกับที่ Isabel เป็นแสงสว่างให้ Tom อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่และมีครอบครัว เช่นเดียวกับทารก Lucy ที่เป็นความหวังครั้งใหม่ให้ Isabel ได้ทำหน้าที่ “แม่” อย่างที่เธอถวิลหา
การตัดสินใจสมอ้างเลี้ยงทารก Lucy ไว้เป็นลูกแท้ ๆ ของตนเอง โดยไม่คิดจะประกาศหาพ่อแม่ที่แท้จริงให้เด็กก่อน ตามหลักทั่วไปก็อาจจะดูเป็นเรื่องผิด เพราะตั้งใจขโมยของคนอื่นมาเป็นของตน เหมือนเก็บกระเป๋าตังค์ได้แล้วไม่ส่งคืนเจ้าของ แต่ในกรณีของ Tom กับ Isabel นี้ ถ้าพินิจอย่างลึกซึ้ง มันก็ไม่มีอะไรถูกผิดไปซะทีเดียว บ่อยครั้งเราเองก็คิดว่าเรากำลังทำสิ่งที่คิดว่าถูกสำหรับเราหรือคนกลุ่มหนึ่งทั้ง ๆ ที่ในขณะเดียวกันเราก็กำลังทำผิดกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ช่วงแรก ๆ หนังอาจจะดูน่าเบื่อไปเสียหน่อยสำหรับคนเมืองที่เคยชินกับวิถีชีวิตที่หวือหวาวุ่นวายอย่างเรา ๆ แต่จุดพีคของเรื่องมันมาถึงเมื่อ Tom พบว่า Hannah คือแม่แท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด Lucy ซึ่งตอนนั้นเด็กก็อายุอานามปาไป 2-3 ขวบปีแล้ว Tom กับ Isabel ต้องเลือกระหว่างความรัก (ที่เขามีต่อคนรักและลูกสาว) กับความซื่อสัตย์ถูกต้อง (ที่เขาพึงกระทำต่อ Hannah)
มันน่าสนใจมากว่า Tom กับ Isabel จะตัดสินใจอย่างไร ถ้าพวกเขาเลือกที่จะเห็นแก่ตัว เก็บ Lucy ไว้เองต่อไป Hannah ก็ต้องเป็นฝ่ายโศกเศร้าเสียใจคนเดียวไปตลอดชีวิต ถ้าพวกเขาเลือกเสียสละ คืนลูกให้ Hannah ไปเสีย มันคงเป็นเรื่องที่ทำใจยากไม่น้อยสำหรับพวกเขา รวมถึง Lucy เพราะสำหรับ Lucy เธอเข้าใจและผูกพันไปแล้วว่า Tom กับ Isabel คือพ่อแม่ของเธอ
พูดง่าย ๆ คือ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ทางนั้นก็ย่อมมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่เจ็บปวด มีคนนึงได้ก็ย่อมมีคนนึงเสีย และก็ย่อมมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ต้องโกรธกับการตัดสินใจนั้น… โกรธเพราะการตัดสินใจที่ไม่ถูกใจ…
หนังทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง ความรักกับ ความเกลียดชังหรือโกรธแค้น อย่างชัดเจน ความรักทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข มันทำให้โลกมีชีวิตชีวาและน่าอยู่ขึ้น ตรงกันข้ามกับความเกลียดความโกรธ ที่ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งคนที่เป็นคนโกรธเอง
อย่างไรก็ตาม อารมณ์และความรู้สึกทั้งหลายมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ความสุขบางครั้งมันก็สั้น ความโกรธก็เช่นกัน บางครั้งสิ่งที่พึงสำคัญเหนือกว่าอารมณ์และความรู้สึก มันจึงควรเป็น “เหตุผล” และ “การให้อภัย” ดีกว่าให้ความโกรธด้วยอารมณ์ชั่ววูบหรือการขาดสติเพียงชั่วครู่มาทำให้เราเสียใจหรืออะไรสายเกินแก้
เพราะชีวิตนี้มันสั้นเหลือเกิน… เกินกว่าจะมายึดติดกับอารมณ์และความรู้สึกของห้วงเวลาหนึ่ง…
The Light Between Oceans เข้าฉาย 8 ธันวาคม 2016 นี้ในโรงภาพยนตร์
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
46 comments
Comments are closed.