เป็นความโชคไม่ดีสักเท่าไหร่ ที่ภาพยนตร์เรื่อง Seventh Son: บุตรคนที่ 7 สงครามมหาเวทย์ ได้เข้าโรงที่ประเทศไทยหลังจาก The Hobbit 3 ซึ่งเป็นหนังแนวแฟนตาซีเหมือนกัน เพิ่งเข้าโรงไปไม่กี่อาทิตย์เท่านั้น ผลตอบรับของ Seventh Son จึงไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างเท่าไหร่
แต่ถึงแม้จะไม่มีการเปรียบเทียบหรือแข่งขันกับ The Hobbit 3 เราก็ยังรู้สึกว่า Seventh Son ยังทำได้ไม่ถึงอย่างที่คาดหวังอยู่ดี ภาพรวมที่ออกมาของหนังคือ เหมือนหนังแฟนตาซีเกรด B ทั่วไปที่เอาไว้ให้เด็กนอนดูเล่นที่บ้านมากกว่าจะเป็นหนังมหากาพย์ฟอร์มยักษ์ที่ใช้ดาราเกรด A แสดงนำ
เรื่องย่อ Seventh Son: บุตรคนที่ 7 สงครามมหาเวทย์
เรื่องราวของ Seventh Son ดำเนินอย่างเรียบง่าย ชนวนเกิดเหตุเกิดจาก Mother Malkin (Julianne Moore จาก Magnolia, The Hunger Games: Mockingjay ฯลฯ) นางพญาแม่มดที่เคยถูกหมอผี Master Gregory (Jeff Bridges จาก Iron Man, TRON: Legacy ฯลฯ) จับขังไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน หลุดออกมาจากกรงขังได้ และออกมาอาละวาดอีกครั้ง
การกลับมาของ Mother Malkin ทำให้ Master Gregory ต้องสูญเสีย Billy Bradley (Kit Harington จาก Pompeii หรือ Jon Snow จากซีรีส์ดัง Game of Thrones) ศิษย์เอกที่อุตส่าห์บ่มเพาะมากว่าสิบปี เขาจึงต้องเดินทางไปตามหา “a seventh son of a seventh son” มาเป็นลูกศิษย์คนใหม่เพื่อมาสืบทอดวิชาความรู้การปราบแม่มดหรือปิศาจร้ายทั้งหลาย
Master Gregory ไปซื้อตัว Tom Ward (Ben Barnes หรือเจ้าชายแคสเปียนจาก The Chronicles of Narnia) ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 7 ของบุตรคนที่ 7 จากครอบครัว Ward โดยก่อนจากมา แม่ของ Tom ได้มอบจี้เส้นหนึ่งไว้กับลูกชายด้วย
Tom Ward ผู้ไม่เอาไหน ต้องถูกเทรนให้เก่งกล้าภายใน 7 วัน เพื่อจะไปช่วยสู้กับ Mother Malkin ได้ก่อนคืนวันพระจันทร์สีเลือด แต่ระหว่างการฝึกซ้อมนั้น Tom ได้เจอและหลงรักกับ Alice (Alicia Vikander) แม่มดพันธุ์ทางที่ Mother Malkin ส่งมาเป็นสปายด้วย อะไรๆ ในสงครามมหาเวทย์ครั้งนี้ จึงซับซ้อนยิ่งขึ้น
รีวิว / วิจารณ์ Seventh Son: บุตรคนที่ 7 สงครามมหาเวทย์
ต้องพูดตรงๆ กันเลยว่า ถ้าจะไปดู Seventh Son: บุตรคนที่ 7 สงครามมหาเวทย์ จะต้องไม่คาดหวังมาก แต่ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นหนังแฟนตาซีที่ภาพสวยอลังการหรือ CG เนียนกริบไร้ที่ติ ไม่ได้มีฉากบู๊ที่สนุกลุ้นระทึกจิกเบาะหรือมีฉากที่น่าจดจำเหมือนหนังมหากาพย์เรื่องอื่นๆ (ฉากต่อสู้นี่ไม่จุใจเท่าไหร่ เหมือนฉากรักของพระนางจะเยอะกว่าเสียด้วยซ้ำ) และไม่ได้มีบทที่หวือหวาหรือแปลกใหม่ที่น่าสนใจแต่ใดใด แต่โดยรวมก็ถือเป็นหนังที่ให้ความบันเทิง ดูเพลิน และมีมุมน่ารักของมันอยู่ไม่หยอก โดยมุมน่ารักดังกล่าวไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็นเหล่านักแสดงนำของเรื่องนี่เอง
ฝั่งนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง Jeff Bridges เขาก็เล่นได้น่ารักในแบบฉบับของเขา (แต่ดูแล้วแอบนึกถึงตาแก่ใน The Lord of the Rings ผสมกับอีตาขี้เมาใน The Hunger Games นะ) หรือ Julianne Moore ที่พลิกบทบาทมาเป็นแม่มดฝ่ายมืด ก็ดูแปลกตาดี
ส่วนฝั่งนักแสดงรุ่นหนุ่มๆ ก็หล่อดึงดูดใจคนดูสาวๆ ได้ไม่น้อย ก็คือ Ben Barnes พระเอกของเรา กับ Kit Harington ที่ถึงแม้จะออกมาไม่กี่นาที แต่ก็หล่อจนเราไม่อยากละสายตา
ถ้าจะพูดถึงข้อเสียทั่วไปในส่วนของนักแสดงก็เห็นจะเป็นใช้ Julianne Moore ไม่ค่อยคุ้ม อุตส่าห์ได้บทร้ายทั้งที่แต่ก็ยังร้ายได้ไม่สุด เหมือนไม่ค่อยได้แสดงอิทธิฤทธิ์สักเท่าไหร่เลย เพราะช่วงกลางๆ เรื่อง หนังมัวแต่ให้พระเอกต่อสู้กับตัวนั่นตัวนี่ไปเรื่อยกว่าจะมาเจอกับ Julianne Moore จริงๆ แถมมิหนำซ้ำ พอเจอกันแล้ว ก็เป็นสงครามที่สะเปะสะปะอย่างบอกไม่ถูก สรุป Master Gregory จะฝึก Tom Ward มาเพื่ออะไรกันแน่
แล้วอีตา Tom Ward เนี่ยนะ ดูจนจบแล้ว เราก็ยังไม่เห็นความฉลาดหลักแหลมหรือความสามารถที่พิเศษโดดเด่นของมันเลย และไม่เห็นจะรู้ว่ามันไปเก่งขึ้นตอนไหนอย่างไร (ไหนบอกว่าบุตรคนที่ 7 ของบุตรคนที่ 7 จะแข็งแรงไง!)
นอกจากนี้ขอติและหักคะแนนเพิ่มเติม สำหรับบทของ Kit Harington ที่ไม่รู้ทำอีท่าไหน ให้เล่นเป็นลูกศิษย์ Master Gregory แต่ดูยังไงก็ยังเป็น Jon Snow ใน GoT อยู่วันยังค่ำ เหมือน Snow เพิ่งออกเวรจากการเป็น Night’s Watch ที่ The Wall แล้วมาช่วยปราบผียังไงยังงั้น แถมมาเร็วเคลมเร็วอีกต่างหาก (นี่ติ่งเสียใจ)
ในส่วนของเรื่องราวก็เรื่อยๆ เหมือนนิทานก่อนนอนสำหรับเด็ก ทุกอย่างคาดเดาง่าย บทเบาหวิว ดำเนินเป็นเส้นตรง ไม่มีหักมุม แต่มีแฝงประเด็นการเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือทำตามทุกเรื่องแบบไร้วิจารณญาณ เพราะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนหรือสิ่งที่เขียนในตำราเองก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป และประเด็นความรักในครอบครัวนิดหน่อย
ส่วนประเด็นหลักที่เป็นหัวใจของนิทานเรื่องนี้ก็เห็นจะเป็นข้อคิดเกี่ยวกับการเลือกวิถีชีวิตทางเดินของตนเอง เราเลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่เราเลือกที่จะเป็นคนดีได้ (อืม… เชยสะบัด)
โดยสรุป ดูเพลินๆ ค่ะ อย่าคิดมากๆ หนังไม่ได้เลวร้ายมาก บันเทิงใช้ได้ นี่ให้ 6.5/10
“You live in a world where legend and nightmare are real.”
ฉายจริงแล้วก่อนอเมริกา~
49 comments