Glass เป็นการขยายจักรวาลและเป็นบทสรุปของหนังเรื่อง Unbreakable กับ Split ของ M. Night Shyamalan (ผู้กำกับที่สร้างชื่อจาก The Sixth Sense) ดังนั้น ถึงแม้ใครจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเคยดู Unbreakable กับ Split มาก่อน แต่เราคิดว่าเราควรดูสองเรื่องนั้นมาก่อนที่จะดู Glass เพราะมันคือที่ที่โลกของ Unbreakable กับโลกของ Split มาบรรจบกัน
คอหนังยุคหลังอาจจะรู้จักหรือเคยดู Split มากกว่า นั่นก็ไม่แปลก เพราะมันเพิ่งฉายปีสองปีก่อน ในขณะที่ Unbreakable เป็นหนังตั้งแต่ปี 2000 แต่ในความคิดของเรา เราคิดว่า Glass เป็นภาคต่อของเรื่อง Unbreakable โดยตรงมากกว่าเรื่อง Split ไม่ว่าจะเชิงเนื้อเรื่อง การอ้างอิงกับ comic books และการเล่าเกี่ยวกับคนเหนือมนุษย์ ควบคู่กับจิตวิทยาตามสไตล์ความถนัดของผู้กำกับ
Elijah Price หรือ Mr. Glass (Samuel L. Jackson จาก Avengers) เป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด เป็นนักคิดนักวางแผน จุดอ่อนคือเป็นโรคกระดูกเปราะบางหักง่ายกว่ามนุษย์ทั่วไป เขามีคู่ปรับเก่าจาก Unbreakable คือ David Dunn (Bruce Willis จาก Die Hard) ซึ่งเป็นคนที่แข็งแรงเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป ปัจจุบันก็ยังทำตัวเสมือนเป็นฮีโร่ คอยช่วยประชาชนทั่วไปจากคนร้ายในสังคม
Kevin (James McAvoy จาก X-Men: First Class) ชาย 24 บุคลิก (รวมบุคลิกสุดท้ายที่เปิดเผยในช่วงท้ายของ Split แล้ว) ที่ใน Split จับเด็กหญิงมาทรมานอย่างไม่มีจุดประสงค์ เปิดเรื่องเรื่องนี้มา เขาก็ยังคงกระทำแบบเดิม เขาจึงได้ปะทะกับ David Dunn ก่อนที่จะถูกจับไปอยู่ในสถานจิตเวชที่เดียวกับ Elijah ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น โดยหมอที่ดูแลเคสพวกเขาคือ Dr. Ellie Staple (Sarah Paulson จาก Ocean’s Eight) ผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องคนเหนือมนุษย์
นอกจากนี้ สามตัวละครเอกยังมีตัวละครซัพพอร์ตอีกคนละคน กล่าวคือ David Dunn ก็มีลูกชายของเขา Joseph (Spencer Treat Clark คนเดียวกันกับเด็กที่เล่นเป็นลูกของ David Dunn เมื่อ 19 ปีที่แล้ว), Elijah ก็มีแม่ของเขา (Charlayne Woodard แม่คนเดิมจาก Unbreakable เช่นกัน), แม้แต่ Kevin เองก็ยังมี Casey Cooke (Anya Taylor-Joy จาก The Witch) เด็กสาวที่เขาเคยจับมาและปล่อยตัวไปเมื่อภาคที่แล้ว
ฉากโชว์พลังเหนือมนุษย์หรือฉากแอ็คชั่นไม่ได้เยอะ อันนี้ยอมรับได้และเข้าใจได้ แต่ความน่าผิดหวังคือ เทรลเลอร์ หรือตัวอย่างหนังของเขาเอง ที่เหมือนขายความคาดหวังให้กับคนดูไปอีกแบบ โดยเฉพาะคนดูที่ไม่เคยดู Unbreakable กับ Split มาก่อน สำหรับเรา เราว่ามันก็สำคัญนะที่คนดูจะต้องทราบก่อนไปดูว่า Glass ไม่ใช่หนังคนเหนือมนุษย์แบบซูเปอร์ฮีโร่จักรวาล Marvel, DC, หรือ X-Men อย่างที่เราคุ้นเคย
ในภาพรวม การผูกหนังสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันนั้น M. Night Shyamalan ทำได้ดีพอตัว อันนี้ชื่นชม แล้วนักแสดงนำแต่ละคนก็มีของกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ James McAvoy ที่ยังต้องสวิตช์ 24 บุคลิกไปมา แต่ก็ยังสามารถทำได้น่าทึ่งและน่าขนลุก อันนี้ก็ชื่นชมมาก ๆ แต่ในส่วนของหนังบางฉาก เรารู้สึกว่า การเอาคนนู้นคนนี้มารวมตัวกัน ไม่ว่าจะทั้งนัดหมายหรือมิได้นัดหมายก็ตาม มีความไม่เนียนอย่างบอกไม่ถูก ดูแล้วรับรู้ได้ถึงความพยายามมากเกินไปของผู้กำกับที่จะเชื่อมโยงจักรวาลนี้ของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่คุณหมอเอาตัวละครเอกสามคนมานั่งจับเข่าคุยเคสของแต่ละเคสพร้อม ๆ กันในห้องโถงกว้าง มันดูไม่เมคเซนส์ที่มาคุยพร้อมหน้าพร้อมตากันหมดกับสามคนไข้ตัวจี๊ด แล้วคุณหมอใช้จิตวิทยาโน้มน้าวทีละคนว่าพวกเขาแค่มโนเพ้อพบหลงตัวเองไปเองว่าตนมีพลังพิเศษ ซึ่งมันยากที่คนดูอย่างเราจะอิน เพราะเราเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดมาตั้งแต่ Unbreakable กับ Split ยังไงสามคนนี้มันก็ไม่ธรรมดาไง (คนธรรมดาที่ไหนไต่เพดานและผนังได้อย่างกับสไปเดอร์แมน จริงมั้ย?
อย่างไรก็ตาม เราเก๊ตในส่วนที่ว่า คนเหนือมนุษย์ ณ ที่นี้ อาจจะไม่ได้หมายถึงซูเปอร์ฮีโร่ เช่น Superman แต่หมายถึงพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษทั่วไปที่ทุกคนพึงมี แต่อาจจะรู้หรือยังไม่รู้ก็ได้ เช่น Elijah ที่ไม่ได้มีพลังเว่อร์อะไร แต่ทว่าฉลาดล้ำ ความจำเป็นเลิศ ซึ่งนั่นคือพรสวรรค์ หรือเด็กสาว Casey ที่เหมือนจะเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดา แต่มีพรสวรรค์ในการโน้มน้าวและใช้ความจริงใจในการเปิดใจคุยกับอสูรได้ หรือกระทั่งลูกชายของ David ก็ถือว่ามีความสามารถในการรีเซิชและใช้ข้อมูลซัพพอร์ตพ่อได้ เป็นต้น
บทสรุปของหนังเหมือนตั้งใจมานำเสนอไอเดียใหม่ให้กับคนดูเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์ยอดมนุษย์ รวมถึงมีแซวหนังฮีโร่เรื่องอื่น ๆ ในระหว่างทางไปด้วย ถ้าคนที่ชอบ Unbreakable หรือเนิร์ด comic เหมือนผู้กำกับ หรืออะไรเทือก ๆ นี้ ก็คงอาจจะชอบเรื่องนี้ด้วย แต่สำหรับเรา เรารู้สึกค่อนไปทางเฉย ๆ ยังสะกดจิตเราให้เชื่อไม่ได้ (จะบอกว่า หนังค่อนข้างเฉพาะกลุ่มก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้ดูยากขนาดคนกลุ่มอื่นจะดูไม่รู้เรื่องเช่นกัน)
แล้วอย่างที่รู้กันว่า M. Night Shyamalan ชอบมีจุดหักมุมในหนังแทบทุกเรื่องของเขา สำหรับจุดหักมุมเรื่องนี้ เราก็ยังเฉย ๆ คือไม่ได้ว้าว ไม่ได้เหวอ เมื่อเทียบกับผลงานเรื่องอื่น ๆ ของเขาเอง ทั้งนี้ อาจจะติดในส่วนของวิธีการคลี่คลายปม
โดยสรุป คะแนนตามความชอบส่วนตัวให้ 7/10 ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี
46 comments
Comments are closed.