Beirut (เบรุต) โดยปกติ เป็นที่รู้จักกันในนามเมืองหลวงและเมืองเก่าแก่ของประเทศเลบานอน แต่ตอนนี้เรามี Beirut เป็น tilte ของหนังเรื่องล่าสุดของ Brad Anderson (ผู้กำกับ The Machinist)
การที่หนังเอาชื่อสถานที่มาตั้งเป็นชื่อเรื่องหรือ “title” ของหนัง ทำให้เราคาดหวังว่า เมือง Beirut จะเป็นหัวใจสำคัญหรือมีอะไรมากกว่าเพียงแค่เป็น “scene” หรือ “location” ของเรื่อง เช่น การขยี้ประเด็นหรือวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับสังคม การเมือง วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์ของเขา ซึ่งหนังมันก็มีสิ่งเหล่านั้นอยู่จริง ๆ แหละ แต่มีอยู่อย่างบางเบามาก สุดท้ายเมือง Beirut จึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสถานที่ที่เกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้เท่าไหร่นัก
ในช่วงปี 1972 หนังพาพวกเราย้อนอดีตไปยังยุคที่เบรุตยังสวยงาม ยังดูมีความเจริญเสมือนเป็นศูนย์กลางของโลกอาหรับ อย่างน้อยที่สุด… ชีวิตของ Mason Skiles (Jon Hamm จาก Mad Men และ Baby Driver) ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นทูตอเมริกาประจำการอยู่ที่นั่น ก็สวยงามสุขสบายดี จนกระทั่งมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์บุกเข้ามาในบ้าน พาตัวลูกเลี้ยง และคร่าชีวิตภรรยาของเขาไป หลังจากเหตุการณ์นั้น เขากลายเป็นคนติดแอลกอฮอล์ กลับไปอยู่บอสตัน ทำงานเป็นนักเจรจาต่อรองด้านแรงงาน แต่ 10 ปีต่อมา มีเหตุให้เขาบินกลับไปเบรุต เพื่อเจรจากับผู้ก่อการร้าย Karim (Idir Chender) ที่จับ CIA Cal Riley (Mark Pellegrino จาก 13 Reasons Why) เพื่อนของเขา ไปเป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับการปล่อยตัวพี่ชายของตน โดย Mason มี Sandy Crowder (Rosamund Pike จาก Gone Girl) เป็นผู้ช่วย
ท่ามกลางตัวละครอันมากมาย เราจะจำตัวละครหลักได้อยู่แค่ 3-4 คน แต่ที่เด่นที่สุดก็คงเป็น Jon Hamm กับ Rosamund Pike โดยส่วนตัวก็ดูผลงาน Jon Hamm มาไม่มาก แต่เรื่องนี้เขาแสดงดีจริง ส่วน Rosamund Pike เราว่าเธอก็ตามมาตรฐานของเธอ แต่ปัญหาคือเธอยังทำให้เราหลุดจากภาพจำของเธอจากเรื่อง 7 Days in Enteppe ที่เราเพิ่งดูไปเดือนที่แล้วไม่ขาด (แถมทั้งสองเรื่องเป็นหนังเกี่ยวกับอิสราเอลและเกี่ยวกับการก่อการร้ายเหมือนกัน)
สีและโทนหนังระหว่างอดีต (1970s) กับปัจจุบัน (1980s) มีความแตกต่างกันชัดเจน ตอนแรกก็สดใสหน่อย ๆ บนภาพที่ดูเป็นฟิล์มเกรน ๆ แต่หลังจากที่ผู้ก่อการร้ายบุกบ้านพระเอกไปแล้ว และหลังช่วงเกิดสงครามกลางเมือง (1975) ไปแล้ว จะดูหม่นไปเลย บรรยากาศตึกรามบ้านช่องก็หดหู่ น่ากลัว อารมณ์เหมือนเดิน ๆ อยู่แล้วจะโดนยิงหรือโดนระเบิดได้ทุกเมื่อ ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะปัญหาความขัดแย้งของคนสองกลุ่มศาสนา (คริสต์กับอิสลาม) ที่สะสมมานานนับร้อยปี (แต่หลัก ๆ น่าจะเป็นเรื่องการแย่งที่ดินระหว่างอิสราเองและปาเลสไตน์)
อย่างไรก็ตาม ตัวหนังไม่ได้ลงลึกเรื่องประวัติศาสตร์ ศาสนา หรือการเมืองของเขามากนัก (เข้าใจได้ว่า ค่อนข้างละเอียดอ่อน) ประเด็นทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และการเมืองจึงเป็นเพียงแค่แบคกราวนด์ หลัก ๆ จะเด่นที่สกิลการเจรจาต่อรองและปฏิภาณไหวพริบของพระเอกเสียมากกว่า แต่สกิลนั้นก็ไม่ได้หวือหวาพลิกล็อกอะไรมากเหมือนอย่างในหนังสปายจัดจ้านเรื่องอื่น ๆ
เราไม่ค่อยอินกับช่วงแรกของหนัง เพราะเข้าไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย ไม่ดูตัวอย่างหนัง ไม่อ่านเรื่องย่อ ความรู้เกี่ยวกับประเทศเขาก็มีเพียงหางอึ่ง ผู้กำกับเองก็ไม่ได้ดำเนินเรื่องราวเอาใจคนรู้น้อยอย่างเราเลย ตัวละครเยอะจนจำไม่ทันว่าใครเป็นใคร บทสนทนาก็พูดรัว ๆ ฉับไวจนบางทีก็ฟังไม่ทัน (ไอ้ที่ฟังทันก็ไม่รู้เรื่อง 555) แต่พอเริ่มคลำทางได้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เครื่องก็เริ่มติด เริ่มรู้สึกดูสนุกขึ้น น่าติดตาม และลุ้นไปกับการเดินหมากของตัวละครทุกฝ่าย คนที่ต้องคลุกคลีกับการเจรจาต่อรองน่าจะมาดู (แต่เตือนว่า ไปดูเรื่องนี้ You must have สติ นะ.)
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10
เข้าฉาย 10 พ.ค. 2018 ในโรงภาพยนตร์
31 comments
Comments are closed.