ถึงแม้ “น้ำพุ” จะเป็นหนังสือ/หนัง/ละครไทยที่เราเคยเสพเมื่อนานนมจนจำเรื่องราวไม่ค่อยได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่า Beautiful Boy กับ น้ำพุ มีความคล้ายกัน อย่างหนึ่งเลยก็คือ มันเป็นเรื่องราวของวัยรุ่นติดยาที่ถูกบันทึกโดยพ่อแม่ที่เป็นนักเขียน
Beautiful Boy สร้างดัดแปลงจากหนังสือ Beautiful Boy: A Father’s Journey Through His Son’s Addiction ของ David Sheff (ผู้เป็นพ่อ) และ Tweak: Growing Up on Methamphetamines ของ Nic Sheff (ผู้เป็นลูก) โดยตัวหนังนี้กำกับโดย Felix van Groeningen ผู้กำกับชาวเบลเยี่ยม
READ MORE: http://www.historyvshollywood.com/reelfaces/beautiful-boy/
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของ David Sheff (Steve Carell จาก Foxcatcher) ที่ต้องพยายามต่อสู้และหาทางรักษา Nic (Timothée Chalamet จาก Call Me by Your Name) ลูกชายของเขาที่ติดยาเสพติดอย่างหนัก โดยหนังเน้นเล่าจากมุมมองของพ่อ เราจึงไม่ได้เข้าถึง Nic สักเท่าไหร่ ต้นเหตุที่เขาไปติดยาก็ไม่ได้แน่ชัดมาก แต่หนังก็พอจะทำให้คนดูเข้าใจความทุกข์ยากทั้งทางกายและทางใจของคนที่มีคนในครอบครัวติดยา ทำให้เห็นว่า การเสพยาไม่ได้ส่งผลเสียต่อตัวผู้เสพเพียงคนเดียว แต่คนรอบข้างที่รักและเป็นห่วงเขาก็พลอยได้รับผลกระทบกันไปด้วย
โดยรวมหนังเองก็เล่าเรื่องของครอบครัวคนติดยาแบบทั่วไป ไม่ได้มีการนำเสนอมุมมองอะไรที่หวือหวา ลึกซึ้ง หรือแปลกใหม่ อีกทั้งลำดับการตัดต่อเล่าเรื่องที่ใส่ลูกเล่นเล่าภาพสลับไปมาระหว่างหลาย ๆ ช่วงเวลาบ่อย ๆ ทำให้เราจำเป็นต้องใช้สติเพิ่มมากขึ้นในการรับชมด้วยนิดนึง
การตัดภาพอดีตและปัจจุบันไป ๆ มา ๆ แบบช็อตต่อช็อตบ่อย ๆ มันก็อาจจะสร้างความสับสนให้คนดูบ้าง แต่ข้อดีคือ มันทำให้เราเข้าใจหัวอกของผู้เป็นพ่อมากขึ้น เวลาเห็นลูกในวันนี้ไม่เหมือนลูกในวันนั้น…ได้เห็นลูกที่เราประคบประหงมมาแต่เล็ก โตมาเป็นใครก็ไม่รู้ที่เหมือนเราไม่รู้จัก
แน่นอนว่า David ผู้เป็นพ่อ ย่อมเสียใจที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปติดยา เป็นเรื่องปกติของพ่อแม่ทุกคนที่จะเสียใจ แต่เราเข้าใจว่า เขาไม่ได้เสียใจที่ลูกไม่ได้เติบโตได้ดีอย่างที่เขาคาดหวัง แต่เขาเสียใจที่ลูกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงทั้งที่เขาเคยเป็นเด็กดี พูดอีกอย่างคือ สิ่งที่ทำให้พ่อเจ็บยิ่งกว่า “ลูกทำตัวไม่น่ารัก” นั่นก็คือ “ครั้งหนึ่งลูกเราเคยน่ารักกว่าใคร ๆ”
ตอนลูกยังเป็นเด็ก พ่อแม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของลูก ลูกเชื่อฟังและคุยกับพ่อแม่ทุกเรื่อง แต่พอลูกเริ่มโตเป็นวัยรุ่น ไปเจอสังคมภายนอก มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่เหมือนเดิม… แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มันจะมีภาพจำแห่งความสุข สมัยลูกยังเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทของเรา สมัยที่ตนเองยังเป็นโลกทั้งใบของลูก… ภาพเก่า ๆ เหล่านั้นมันตอกย้ำให้เขาเสียใจ
David เขาพยายามทำทุกอย่างที่จะช่วยลูกให้เลิกยาและกลับไปเป็นลูกชายคนดีคนเดิมของเขา แต่เขาก็ต้องเรียนรู้ว่า ความรักไม่ได้แก้ไขได้ทุกปัญหา และพ่อแม่ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะสามารถช่วยลูกได้ในทุก ๆ อย่าง เพราะชีวิตใครมันก็ชีวิตมัน แล้วบางอย่างมันก็อาจจะไม่มีทางหาย (เช่น มะเร็ง) หรือไม่มันก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้อย่างที่เราต้องการ แต่สุดท้าย ลูกก็คือลูก ไม่ว่าเขาจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้าย ไม่ว่าเขาจะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ต้องอยู่ข้าง ๆ เขาเหมือนเดิม
โดยส่วนตัวคิดว่า Steve Carell ผู้รับบท David Sheff ซึ่งเสมือนตัวเล่าเรื่องหรือเป็นศูนย์กลางของหนัง ยังน่าจะทำได้ดีกว่านี้ พลังของเขาในบทนี้ยังแผ่วเบาไปสักหน่อยอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่ Timothée Chalamet ผู้รับบทเป็น Nic Sheff มอบการแสดงที่ไม่เหมือนการแสดงให้กับคนดูอย่างตราตรึง (ดีที่หนังยังมีเล่าสลับไปตอนก่อนที่ Nic จะติดยากับช่วงที่งดยาได้แล้วให้ดูด้วย จึงได้เห็นหน้าหล่อ ๆ ของน้อง Timothée จากหนังเรื่องนี้อยู่บ้าง) ต้องบอกว่า Timothée ช่วยภาพรวมของหนังไว้ได้มากจริง ๆ ทั้งความสวยงามและการแสดง
คิดว่า Timothée มีแววจะได้เข้าชิงออสการ์อีกปี บารมีอาจจะยังไม่ถึงที่จะคว้ามัน แต่ก็ยังถือว่า Timothée ทำได้ดีมากสำหรับอายุและประสบการณ์เท่านี้ เชื่อว่าอนาคตของน้องยังอีกยาวไกล
โดยสรุป จะเข้าข่ายหนังดีก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น เพราะถึงแม้หนังจะมีสารที่ดี แต่เนื้อเรื่องยังธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกใหม่ บางคนอาจจะเบื่อหรืองงกับการตัดต่อสลับไปมาด้วยได้ แต่คุณจะไม่ผิดหวังกับการแสดงและหน้าหล่อ ๆ ของ Timothée Chalamet อย่างแน่นอน คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
ป.ล. เห็นหลายคนบ่นรำคาญเพลงว่ามีเยอะเกินไป บ้างก็ใส่เพลงไม่ถูกจังหวะ แต่โดยส่วนตัว เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเพลงเป็นปัญหาอะไร อาจเพราะส่วนใหญ่ ณ ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ ไม่ค่อยได้ใช้หู มัวแต่ใช้ตาดูหน้าน้อง Timothée อยู่อย่างตั้งใจ
93 comments
Comments are closed.