Along With The Gods: The Two Worlds ได้สร้างปรากฏการณ์เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศเกาหลี (เป็นรองแค่ The Admiral: Roaring Currents) สร้างรายได้ถล่มทลายกันลืมภพลืมโลก
ทันทีที่ Along With The Gods: The Last 49 Days (ภาคต่อจากภาคแรก) เข้าฉาย หนังก็ทำลายสถิติเปิดตัวแซงหน้า Jurassic World: Fallen Kingdom และทำรายได้เปิดตัวกว่าหนึ่งหมื่นล้านวอน (หรือประมาณ 295 ล้านบาท) เรียกได้ว่า แซงทุกหนังในประวัติศาสตร์เกาหลี แถมคุณภาพยังสามารถเทียบฟอร์มกับหนังฮอลลีวูดได้อย่างสูสีต่อจาก Train To Busan
ทั้งนี้ ต้องบอกก่อนว่า ที่เขาปล่อยทั้งสองภาคฉายมาในระยะเวลาห่างกันไม่ถึงปี เป็นเพราะหนังเรื่องนี้มันเป็นโปรเจ็กต์ฟอร์มยักษ์ที่เขาคิดไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะทำหลายภาค ดังนั้นทุกอย่างในหนัง โดยเฉพาะบท ถูกคิดมาแล้วล่วงหน้าอย่างดีให้สอดคล้องกันอย่างต่อเนื่องลงตัว ไม่มีปัญหาจับยัดหรือรอยรั่วที่เรามักต้องพบเจอบ่อย ๆ จากหนังภาคต่อเรื่องอื่น ๆ
โดยในภาคนี้ หนังดำเนินต่อจากหนังภาคแรกทันที หลังจากทีมยมทูต อันได้แก่ “คังลิม” หัวหน้าทีม (Jung-woo Ha จาก The Handmaiden), “เฮวอนเมก” รองหัวหน้าขาบู๊ (Ji-hun Ju จาก Antique), และ “ดัคชุน” ยมทูตเด็กหญิง (Hyang-gi Kim จาก Thread of Lies) ได้ส่งดวงวิญญาณของนักดับเพลิง “คิมจาฮง” (Tae-hyun Cha จาก My Sassy Girl) ได้สำเร็จ และป้ายดวงวิญญาณอันใหม่ได้ถูกส่งต่อให้กับ Soo-hong (Dong-wook Kim จาก Take Off) น้องชายของนักดับเพลิงหนุ่ม ที่เสียชีวิตในค่ายทหารและเป็นวิญญาณอาฆาตเมื่อภาคที่แล้ว
เนื่องจากในภาคแรก หนังได้ปูพื้นฐานให้คนดูเข้าใจการเดินทางในโลกหลังความตายที่ดวงวิญญาณจะต้องผ่านการตัดสินคดีจากนรกทั้ง 7 ด่าน ภายใน 49 วัน โดยมีทีมยมทูตคอยทำหน้าที่เป็นทั้งทนายและผู้พิทักษ์ให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อแลกกับการได้ไปเกิดใหม่เมื่อพวกเขาส่งดวงวิญญาณได้ครบตามกำหนด ทำให้ในภาคนี้ หนังไม่ต้องปูความเข้าใจในการทัวร์นรกและการพิพากษาแต่ละด่านแล้ว และไปทุ่มเวลาให้กับการขยายเรื่องราว ย้อนไปอดีตเมื่อพันปีก่อนของยมทูตทั้งสามก่อนที่พวกเขาจะตายมาเป็นยมทูต
ตัวละครใหม่ที่มาเป็นกุญแจสำคัญของภาคนี้คือ เทพประจำบ้าน (Ma Dong-suk จาก Train To Busan) ที่โผล่มาเซอร์ไพรส์แว้บ ๆ ในตอนจบของภาคแรก โดยในภาคนี้เขาจะเป็นหนึ่งในตัวละครหลัก และเป็นสีสันให้กับหนังอย่างที่เขาเคยขโมยซีนกงยูมาแล้วใน Train To Busan
แม้แต่ด้าน Visual Effects หรือ CGI ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างโอเค ดูแล้วไม่หลอกตาจนเกินไปอย่างซีจีเสือในละครไทย แถมยังกล้าเล่นใหญ่รัชดาลัย กล้าเสกสัตว์ประหลาดที่คนดูทั่วไปคงไม่คาดว่าเค้าจะกล้าทำขึ้นมาอีกต่างหาก ซึ่งที่เค้าทำได้ขนาดนี้ ทั้งนี้เพราะเขาได้ลงทุนร่วมมือกับ Dextur Studios หนึ่งในบริษัทผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Visual Effects ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียนั่นเอง
ภาคนี้ยาวประมาณสองชั่วโมงนิด ๆ มีจุดที่เราเบื่อบ้างในบางฉาก เพราะเราไม่ได้อยากรู้อดีตชาติของยมทูตทั้งสามขนาดนั้น (ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังตั้งใจจะเล่าในภาคนี้ของเขาอะนะ) และเรื่องก็ค่อนข้างเดาได้ มันจึงไม่ได้น่าติดตามอะไรขนาดนั้น แต่โดยรวมมันก็ยังเป็นหนังที่ดีและดูสนุกมากอยู่ดี
ความเข้มข้น เราคิดว่าภาคแรกมีดราม่าเข้มข้นกว่า อาจเพราะจุดที่ชูโรงเป็นประเด็นครอบครัวและความกตัญญู ซึ่งเป็นประเด็นที่คนดูทั่วไป โดยเฉพาะคนไทยในสังคมไทย จะรู้สึกอินและเข้าถึงง่าย ส่วนภาคนี้มันไปเน้นเล่าอดีตชาติของยมทูตทั้งสาม และการต้องใช้ชีวิตติดอยู่กับบาปอันเป็นความลับที่ติดตัวติดใจอย่างทุกข์ทรมาน (พูดง่าย ๆ คือ เราคงหมายถึงชนักติดหลัง นั่นแหละ) คิดว่า ไม่น่าจะเรียกน้ำตาหนักเท่าภาคแรก แต่ก็ยังพอกินใจได้อยู่
แต่สิ่งที่เราชอบในภาคนี้คือ นอกจากจะปะติดปะต่อกับภาคแรกได้ดีแล้ว เขาสอดแทรกประเด็นหนัก ๆ อย่างเรื่องเศรษฐกิจและการเงิน เช่น การลงทุน ของเกาหลีลงมาในหนังให้ดูเป็นเรื่องเบา ๆ ได้ อีกทั้งมีพาดพิงประเด็นสังคมทุนนิยมอีกด้วย
ท้ายเรื่องได้มีการปูทางไปภาคต่อด้วยแล้วเรียบร้อย ซึ่งคิดว่าอีกไม่นานเราก็คงจะได้ชมกัน และเราคนนึงล่ะ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอชมการผจญภัยครั้งใหม่ของยมทูตทั้งสามกับดวงวิญญาณดวงใหม่นี้
ใครยังไม่ได้ดูภาคแรก แนะนำให้หามาดูก่อนนะ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
33 comments
Comments are closed.